ข่าวเศรษฐกิจ
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยรายงานการสืบสวนการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมภายใต้มาตรา 232 ตามคำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ พร้อมทั้งเสนอแนวทางในการควบคุมการนำเข้าเหล็กจากต่างชาติ 3 แนวทาง ดังนี้
1) การขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กกล้าจากทั่วโลกอีก 24% และการขึ้นภาษีนำเข้าอะลูมิเนียมจากทุกประเทศอีก 7.7%
2) เรียกเก็บภาษีนำเข้า 53% สำหรับเหล็กที่นำเข้าจาก 12 ประเทศ คือ ไทย บราซิล จีน คอสตาริกา อียิปต์ อินเดีย มาเลเซีย เกาหลีใต้ รัสเซีย แอฟริกาใต้ ตุรกี และเวียดนาม และ 23.6% สำหรับอะลูมิเนียมที่นำเข้าจากจีน รัสเซีย เวียดนาม ฮ่องกง และเวเนซุเอลา
3) กำหนดโควตานำเข้าสำหรับทุกประเทศ โดยกำหนดโควตานำเข้าเหล็กจากแต่ละประเทศเหลือ 63% ของปริมาณนำเข้าเหล็กจากประเทศนั้นในปี 2560 และอะลูมิเนียมเหลือ 87%
โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะมีเวลาตัดสินใจว่าจะใช้มาตรการควบคุมการนำเข้าเหล็กตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอหรือไม่ จนถึงวันที่ 11 เมษายน 2561 และมาตรการควบคุมการนำเข้าอะลูมิเนียมถึงวันที่ 19 เมษายน 2561 ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ คาดว่าหากประธานาธิบดีสหรัฐฯ เลือกปฏิบัติตามข้อเสนอข้างต้นจะทำให้ศักยภาพการผลิตในอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมและเหล็กของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 80% จากปัจจุบันอยู่ที่ 48% สำหรับอะลูมิเนียม และ 73% สำหรับเหล็ก
สำหรับผลกระทบต่ออุต สาหกรรมเหล็กของไทย กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) คาดว่าจะมีผู้ประกอบการเพียงบางส่วนที่นำเข้าเหล็กจากจีนมาแปรรูปเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่จะได้รับผลกระทบ ขณะที่ผู้ผลิตส่วนใหญ่ของไทยไม่ได้ส่งออกเหล็กไปยังสหรัฐฯ เพราะมีต้นทุนค่าขนส่งสูงและแข่งขันกับเหล็กจากจีนไม่ได้ (กรุงเทพธุรกิจ, 18 ก.พ. 2561 และโพสต์ทูเดย์, 18-19 ก.พ. 2561)