ข่าวเศรษฐกิจ

กฟผ. เดินหน้าพัฒนา BESS-โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ เสริมความมั่นคงพลังงาน

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า จากนโยบายพลังงานของประเทศที่มุ่งสู่ Carbon Neutrality ในปี 2593 โดยจะส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ระบบกักเก็บพลังงานจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียน เพราะจะช่วยลดความผันผวน ทำให้โครงข่ายระบบไฟฟ้ามีความทันสมัย ยืดหยุ่น (Grid Modernization) และสามารถนำพลังงานหมุนเวียนมาปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมเพื่อสร้างความมั่นคงแก่ระบบผลิตไฟฟ้าในภาพรวม กฟผ. จึงมุ่งพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (BESS) ที่เชื่อมต่อกับระบบส่งไฟฟ้า หรือ Grid Scale นำร่องใช้งานที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงชัยบาดาล จ.ลพบุรี ขนาด 21 เมกะวัตต์-ชั่วโมง (MWh) และที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงบำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ ขนาด 16 MWh เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีแหล่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมที่เชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าจำนวนมาก จึงมีความผันผวนค่อนข้างสูง ซึ่ง BESS ดังกล่าวสามารถจ่ายไฟฟ้าได้ภายในเวลาไม่เกิน 200 มิลลิวินาที 

นอกจากนี้ กฟผ. ยังได้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับโดยนำไฟฟ้าในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าน้อยสูบน้ำจากเขื่อนด้านล่างขึ้นไปเก็บไว้ยังอ่างพักน้ำตอนบน เมื่อมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงหรือไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนไม่เสถียรก็สามารถปล่อยน้ำผ่านเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากลับลงมาผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทันที ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับทั้งสิ้น 3 แห่ง รวมกำลังผลิต 1,531 เมกะวัตต์ (MW) ได้แก่ โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา จ.นครราชสีมา เขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี และเขื่อนภูมิพล จ.ตาก ขณะเดียวกัน กฟผ. ยังมีแผนดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับเขื่อนจุฬาภรณ์ จ.ชัยภูมิ อีก 801 MW ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) คาดว่าจะจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2578 (https://mgronline.com, 3 ต.ค. 2565)

link อื่นๆ
  • Relate Preview
  • Relate Preview
Financial Products
  • Finance Preview
  • Finance Preview
  • Finance Preview