ข่าวเศรษฐกิจ
สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ในเดือน พ.ย. 2565 ขยายตัว 1.55% (m-o-m) แต่หดตัว 5.60% (y-o-y) เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมน้ำมันปิโตรเลียมและอุตสาหกรรมเม็ดพลาสติกปิดซ่อมบำรุงใหญ่ ซึ่งจะกลับมาผลิตเป็นปกติในเดือน ธ.ค. 2565
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อ MPI ในเดือน พ.ย. 2565 (y-o-y) ได้แก่
- ยานยนต์ 12.95% (y-o-y) เนื่องจากรถบรรทุกปิกอัพ รถยนต์นั่งขนาดเล็ก และรถยนต์นั่งขนาดกลาง เร่งผลิตหลังได้รับชิปมากขึ้น ประกอบกับมีการผลิตเพื่อสต็อกสินค้าไว้จำหน่ายในช่วงปลายปี
- น้ำมันปาล์ม 32.47% (y-o-y) จากผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เป็นหลัก เนื่องจากราคาจำหน่ายของปาล์มน้ำมันในปีก่อนอยู่ในระดับสูงจูงใจให้เกษตรกรบำรุงต้นและผลปาล์ม ส่งผลให้ปี 2565 มีปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสู่ตลาดมากกว่าปีก่อน
- เครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วน 9.57% (y-o-y) เนื่องจากได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากญี่ปุ่น สหรัฐฯ EU และฟิลิปปินส์ รวมถึงการเร่งผลิตและส่งมอบสินค้าหลังปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนฯ คลี่คลาย
- ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ 3.08% (y-o-y) ตามความต้องการผลิตภัณฑ์วงจรรวม และแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ของตลาดโลกที่ยังคงมีอยู่ แต่เป็นการขยายตัวในอัตราชะลอ หลังเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณการเติบโตลดลง
สำหรับ MPI ในเดือน ธ.ค. 2565 สศอ. คาดว่าจะหดตัว เนื่องจากอุปสงค์ในตลาดโลกชะลอตัว พร้อมกันนี้ สศอ. ประเมินผลกระทบกรณีปรับขึ้นค่าไฟฟ้าเดือน ม.ค.-เม.ย. 2566 เป็นหน่วยละ 5.69 บาท ว่าจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.7% โดยอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ เหล็ก ซีเมนต์ สิ่งทอ คอนกรีต และเซรามิก ทั้งนี้ เมื่อเทียบอัตราค่าไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ไทยมีค่าไฟฟ้าสูงเป็นอันดับ 3 รองจากสิงคโปร์และฟิลิปปินส์ ซึ่งจะส่งผลให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยลดลง (กรุงเทพธุรกิจ, 28 ธ.ค. 2565)