ข่าวเศรษฐกิจ
ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็กไทย 10 สมาคมได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อยื่นข้อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาเหล็กอย่างยั่งยืน อาทิ ห้ามส่งออกเศษเหล็ก หรือเก็บภาษีส่งออกเศษเหล็ก (Export Tax) เพื่อสงวนเศษเหล็กไว้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเหล็กในประเทศ เพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมเหล็กโครงสร้างสำเร็จรูป (HS 7308) ที่นำเข้าจากต่างประเทศเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ขยายระยะเวลาบังคับใช้มาตรการห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต หรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต จากเดิมที่มาตรการจะหมดอายุในวันที่ 10 ม.ค. 2568 ออกไปอีก 5 ปี และห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชั่วคราว 5 ปี รวมถึงเพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณาออกใบอนุญาตนำเข้าสินค้าเหล็ก (มอก.) แก่ผู้นำเข้ารายใหม่ เพราะอัตราการใช้กำลังการผลิตในประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ
ทั้งนี้ สมาคมผู้ผลิตท่อและแปรรูปเหล็กแผ่นระบุว่า ปัจจุบันรูปแบบการนำเข้าเหล็กจากจีนเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากที่ผ่านมาภาครัฐได้ใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping Duty : AD) รวมทั้งกำหนด มอก.สินค้าเหล็ก ปัจจุบันจึงมีการนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นเพื่อเลี่ยงมาตรการกีดกัน เช่น โครงสร้างอาคาร นอกจากนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีบริษัทต่างชาติย้ายฐานการผลิตเหล็กเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้น รวมทั้งนำเข้าวัตถุดิบเหล็ก เช่น เหล็กม้วน เข้ามาเพื่อแปรรูปในไทย จึงควรระงับการออกใบอนุญาตนำเข้า 1-2 ปี เพื่อจำกัดการนำเข้า รวมทั้งควรออก มอก.แบบบังคับสำหรับสินค้าเหล็กเพิ่มขึ้น เพราะปัจจุบันสินค้าหลายรายการมี มอก.แบบทั่วไป (มาตรฐานโดยสมัครใจ) ทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม เช่น ท่อเหล็กเคลือบสังกะสี 60 ไมครอน แต่สินค้านำเข้าเคลือบสังกะสีเพียง 40 ไมครอน จึงมีต้นทุนต่างกันตันละ 10-15 ดอลลาร์สหรัฐ (กรุงเทพธุรกิจ, 25 ธ.ค. 2566)