ข่าวเศรษฐกิจ

ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนามได้กำหนดกรอบราคาไฟฟ้าใหม่สำหรับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม โดยกำหนดราคาเพดาน (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ไว้ระหว่าง 1,184.90-1,508.27 VND/kWh (ราว 4.47-6.03 cent/kWh) และโรงไฟฟ้าพลังงานลม 1,587.12-1,815.95 VND/kWh (ราว 6.35-7.26 cent/kWh) ขึ้นอยู่กับประเภท ซึ่งถือว่าลดลงจากเดิมค่อนข้างมากนั้น บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด เห็นว่าเป็นปัจจัยลบต่อผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าที่เข้าไปลงทุนในเวียดนามและยังอยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญา PPA และตกลงราคาค่าไฟฟ้ากับ EVN ซึ่งการลดอัตราค่าไฟฟ้าลงจะส่งผลให้ผู้ประกอบการได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนต่ำกว่าที่ประเมินไว้ หรืออาจไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ส่งผลให้ความน่าสนใจในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมหรือแสงอาทิตย์ในเวียดนามลดลงในอนาคต โดยเบื้องต้นคาดว่าหากผู้ประกอบการไม่สามารถเจรจาต่อรองค่าไฟฟ้าหรือมีนโยบายอื่นเข้ามาชดเชย อาจส่งผลให้ EIRR ของโครงการลดลงจาก 10-12% เหลือเพียง 0.3% 

ทั้งนี้ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่าโครงการของบริษัทฯ ที่ได้รับผลกระทบจากกรอบราคาไฟฟ้าใหม่ของเวียดนามมีไม่มาก โดยบริษัทฯ มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนาม 1 โครงการ ขนาด 120 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งได้เริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) มา 4 ปีแล้วจึงไม่รับผลกระทบ มีเพียงโรงไฟฟ้าพลังงานลม 1 โครงการ ขนาดกำลังการผลิต 128 MW ที่ก่อสร้างเสร็จและทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไปแล้ว 4 MW แต่ส่วนที่เหลืออีก 124 MW อาจได้รับผลกระทบจากการกำหนดกรอบราคาไฟฟ้าใหม่ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับการไฟฟ้าเวียดนาม (EVN) เพื่อขอปรับขึ้นราคาซื้อขายไฟฟ้าเพิ่มจากกรอบค่าไฟใหม่ ซึ่งหากไม่สามารถขอปรับขึ้นราคาได้ก็อาจพิจารณาขายโครงการดังกล่าวออกไป ส่วนโครงการในอนาคตก็ต้องพิจารณาอีกครั้งว่าคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ หากมีโครงการใหม่ที่ประเมินแล้วว่าคุ้มค่าก็อาจพิจารณาลงทุนต่อได้ (www.efinancethai.com, 13 ม.ค. 2566)