ข่าวเศรษฐกิจ

การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่าปัจจุบันประเทศผู้ผลิตยางพาราต่างประสบปัญหาโรคใบยางร่วง โดยฟิลิปปินส์ได้รับความเสียหายกว่า 90% ทำให้เกษตรกรหันไปปลูกทุเรียนมากขึ้น ขณะที่น้ำยางในอินโดนีเซียก็หายจากตลาดไปปีละ 3-5 แสนตัน จนเกษตรกรหันไปปลูกปาล์มน้ำมันแทน ส่วนไทยซึ่งแก้ปัญหาได้ดีที่สุดก็ยังไม่สามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคใบยางร่วงได้ ยังพบการกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ นอกจากนี้ สภาพการเปลี่ยนแปลงของอากาศยังทำให้ยางพาราผลัดใบเร็วทำให้เข้าสู่ฤดูปิดหน้ากรีดเร็วขึ้น โดยปัจจุบันเกษตรกรในภาคใต้ของไทยได้ทยอยหยุดกรีดแล้ว หลังจากนี้จึงจะมีปริมาณยางพาราออกสู่ตลาดไม่มากนัก 

อย่างไรก็ตาม คาดว่าความต้องการใช้ยางพาราในตลาดโลกจะมีปริมาณมากขึ้นจากกฎหมายในประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศที่กำหนดให้รถยนต์ต้องเปลี่ยนยางล้อภายในระยะเวลาที่กำหนด การขยายเมืองใหม่ที่ทำให้มีการเดินทางมากขึ้น และการสนับสนุนให้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งนี้ สมาคมประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติ (ANRPC) คาดการณ์ว่าผลผลิตยางพาราโลกในปี 2566 จะมีปริมาณ 14.31 ล้านตัน ลดลงเล็กน้อยจาก 14.55 ล้านตันในปี 2565 เนื่องจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน โรคระบาด และการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และคาดว่าความต้องการใช้จะขยายตัว 5% เป็น 15.56 ล้านตัน ทำให้คาดว่าราคายางพาราจะสูงขึ้นจากปี 2565 สำหรับการส่งออกของไทยในปี 2566 คาดว่าจะมีปริมาณ 4.4 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 6.5 แสนล้านบาท ลดลงจากปี 2565 ที่ส่งออกได้ 4.5 ล้านตัน เนื่องจากปริมาณการใช้ยางในประเทศจะเพิ่มขึ้น 9.9% เป็น 1.04 ล้านตัน จากการลงทุนผลิตยางล้อและผลิตภัณฑ์ยางในประเทศที่เพิ่มขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ, 10 ก.พ. 2566)