ข่าวเศรษฐกิจ

ตามที่กลุ่มฮูตีในเยเมน ซึ่งเป็นพันธมิตรของกลุ่มฮามาส ได้ส่งโดรนติดอาวุธโจมตีเรือบรรทุกสินค้าที่แล่นผ่านช่องแคบบับเอลมันเดบ (Bab al-Mandab) ในทะเลแดง เพื่อตอบโต้กองทัพอิสราเอลที่ยังเดินหน้าปฏิบัติการโจมตีในฉนวนกาซา จนส่งผลให้สายเดินเรือยักษ์ใหญ่ของโลก ทั้งเมอส์ก (Maersk) ฮาแพค-ลอยด์ (Hapag-Lloyd) เมดิเตอร์เรเนียน ชิปปิ้ง (MSC) และ CMA CGM ได้ประกาศระงับการเดินเรือในเส้นทางดังกล่าว เช่นเดียวกับ BP บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของสหราชอาณาจักรที่ประกาศหยุดการขนส่งสินค้าทางเรือผ่านทะเลแดงชั่วคราวนั้น สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า เส้นทางขนส่งสินค้าผ่านช่องแคบบับเอลมันเดบในทะเลแดง ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการส่งออกจากไทยและเอเชียไปยุโรป ปกติจะมีเรือวิ่งเข้าออกราววันละ 100-120 ลำ คาดว่าในภาพรวมสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบไม่มากนักในปี 2566 เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่ที่ส่งออกไปเพื่อจำหน่ายในช่วงเทศกาลปลายปีได้ส่งมอบแก่คู่ค้าไปก่อนหน้านี้แล้ว 

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์รุนแรงขึ้นและขยายวงจนถึงขั้นปิดคลองสุเอซ จะมีความเสี่ยงและส่งผลกระทบได้ในอนาคต ทั้งค่าระวางเรือที่อาจเพิ่มขึ้นอีกราวตู้ละ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับการส่งสินค้าไปยุโรป จากการที่เรือต้องเปลี่ยนเส้นทางโดยอ้อมไปทางแอฟริกาใต้ผ่านแหลมกู๊ดโฮป ทำให้ระยะเวลาขนส่งนานขึ้นอีก 10-15 วัน รวมถึงค่าประกันภัยความเสี่ยงที่จะปรับเพิ่ม ซึ่งจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการส่งออกไทยในปี 2567 ที่ สรท.คาดว่าจะขยายตัวได้ 1-2% และซ้ำเติมเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอยู่แล้วให้ทรุดลงไปอีก นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศยังระบุว่า เส้นทางดังกล่าวยังเป็นเส้นทางหลักในการส่งสินค้าไปยัง 3 ประเทศในตะวันออกกลาง ได้แก่ อียิปต์ จอร์แดน และอิสราเอล ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 20% ของการค้าไทยกับตะวันออกกลาง ส่วนที่เหลืออีก 80% จะผ่านไปทางท่าเรือในดูไบของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เพื่อกระจายสินค้าต่อไปยังประเทศที่เหลือในตะวันออกกลาง (ฐานเศรษฐกิจ, 21-23 ธ.ค. 2566)