ข่าวเศรษฐกิจ

สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่าสินค้าสำคัญที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้คือปาล์มน้ำมัน เนื่องจากอินโดนีเซียได้ยกเลิกมาตรการห้ามส่งออกน้ำมันปาล์มตั้งแต่ปลายปี 2565 ประกอบกับช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครนมีการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นราว 10% ทำให้ผลผลิตน้ำมันปาล์มมีมากกว่าความต้องการใช้ในประเทศ นอกจากนี้ การปรับมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นยูโร 5 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567 ทำให้เกิดข้อจำกัดทางเทคนิค ไม่สามารถเพิ่มส่วนผสมไบโอดีเซลเกินกว่า B7 ได้ ประกอบกับความนิยมใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) มีมากขึ้นทำให้ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มเพื่อผลิตไบโอดีเซลลดลง ทั้งหมดส่งผลกระทบต่อการส่งออกและราคาปาล์มน้ำมันในประเทศ และทำให้การบริหารจัดการราคาปาล์มทะลายนับจากนี้มีความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากคาดว่าผลผลิตปาล์มน้ำมันจะออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นในช่วงเดือน มี.ค. 2567 จึงต้องเตรียมเพิ่มการส่งออกอย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันราคาตกต่ำ  

ทั้งนี้ สศก.คาดการณ์ว่าผลผลิตปาล์มน้ำมันของไทยในปี 2567 จะลดลง 0.55% เหลือ 18.10 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ลดลง 2.61% เหลือ 2,836 กิโลกรัม เนื่องจากสภาพอากาศร้อนแล้งในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. 2566 และคาดว่าสภาวะ El Nino จะรุนแรงขึ้นในช่วงเดือน พ.ย. 2566 จนถึงต้นปี 2567 จึงอาจส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนไม่เพียงพอต่อความต้องการของต้นปาล์มน้ำมัน ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มเพื่อการบริโภคในปี 2567 คาดว่าจะลดลง 2.48% เหลือ 1.38 ล้านตัน และความต้องการใช้น้ำมันปาล์มเพื่อพลังงานทดแทนจะลดลง 3.34% เหลือ 1.01 ล้านตัน ส่วนการส่งออกคาดว่าปริมาณส่งออกน้ำมันปาล์มดิบและผลิตภัณฑ์ของไทยจะลดลง 2.44% เหลือ 1 ล้านตัน และมูลค่าลดลง 18.02% เหลือ 27,380 ล้านบาท จากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและต้นทุนการผลิตที่เสียเปรียบคู่แข่ง (กรุงเทพธุรกิจ, 23 ม.ค. 2567)