ข่าวเศรษฐกิจ

สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) อยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในงวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 2568 โดยเสนอ 3 ทางเลือก ซึ่งจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้างวดใหม่อยู่ระหว่างหน่วยละ 4.18-5.49 บาท ดังนี้  

กรณีที่ 1 หากจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ทั้งหมด รวมค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้าปี 2566 (AFGAS) ค่า Ft ขายปลีกจะเท่ากับหน่วยละ 170.71 สตางค์ โดยแบ่งเป็น 1) ค่า Ft ที่สะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือน ม.ค.-เม.ย. 2568 หน่วยละ 16.52 สตางค์ 2) เงินเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. จำนวน 85,236 ล้านบาท หรือคิดเป็นหน่วยละ 131.01 สตางค์ และ 3) มูลค่า AFGAS ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ (กฟผ. และ ปตท.) เดือน ก.ย.- ธ.ค. 2566 จำนวน 15,083.79 ล้านบาท หรือคิดเป็นหน่วยละ 23.18 สตางค์ 

โดยกรณีนี้ กฟผ. จะได้รับเงินที่รับภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าแทนประชาชนตั้งแต่เดือน ก.ย. 2564-ส.ค. 2567 ในช่วงวิกฤตของราคาพลังงานที่ผ่านมา คืนทั้งหมดภายในเดือน เม.ย. 2568 เพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ จะได้รับเงินคืนส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้าคืนทั้งหมด ซึ่งเมื่อรวมค่า Ft ขายปลีกที่คำนวณได้กับค่าไฟฟ้าฐานที่หน่วยละ 3.78 บาท ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นจากหน่วยละ 4.18 บาท ในงวดปัจจุบัน เป็นหน่วยละ 5.49 บาท  

กรณีที่ 2 หากจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ทั้งหมด โดยยังไม่จ่ายคืนค่าส่วนต่างราคาก๊าซฯ จะได้ค่า Ft ขายปลีกรวมหน่วยละ 147.53 สตางค์ ซึ่งจะทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยปรับขึ้นเป็นหน่วยละ 5.26 บาท 

กรณีที่ 3 ตรึงค่า Ft เท่ากับงวดปัจจุบันที่หน่วยละ 39.72 สตางค์ ตามที่ กฟผ. เสนอ เพื่อให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยคงที่ที่หน่วยละ 4.18 บาท เช่นเดียวกับปัจจุบัน โดยค่า Ft ดังกล่าวจะสะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือน ม.ค.-เม.ย. 2568 จำนวน 16.52 สตางค์ และทยอยชำระคืนภาระต้นทุน AF คงค้างสะสมได้จำนวน 15,094 ล้านบาท (หรือคิดเป็นหน่วยละ 23.20 สตางค์) ทำให้คาดว่า ณ สิ้นเดือน เม.ย. 2568 จะมีภาระต้นทุนคงค้างที่ กฟผ. และรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติรับภาระแทนประชาชนคงเหลืออยู่ 85,226 ล้านบาท (ข่าวหุ้น, 11 พ.ย. 2567)