ข่าวเศรษฐกิจประเทศเป้าหมาย Home ข่าวเศรษฐกิจประเทศเป้าหมาย เลือกประเทศเป้าหมาย ; Cambodia ; Ethiopia ; India ; Kenya ; Lao People's Democratic Republic ; Mozambique ; Myanmar ; Vietnam ; Tanzania United Republic of ; Africa search สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยคาดตลาดข้าวปี 2568 แข่งดุ-ราคาลด สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเปิดเผยว่า การส่งออกในข้าวปี 2568 จะพบว่าผู้ซื้อมีการนำเข้าลดลงจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตในหลายประเทศที่เป็นผู้ส่งออกดีขึ้น เช่น ไทย เวียดนาม กัมพูชา เมียนมา รวมถึงจีน หรือแม้กระทั่งในประเทศผู้นำเข้าสำคัญอย่างอินโดนีเซีย ก็มีการประเมินว่าจะนำเข้าข้าวลดลงจาก 4 ล้านตัน เหลือ 1-1.5 ล้านตัน เพราะผลผลิตในประเทศดีขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ การที่อินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาวอีกครั้ง จะทำให้ตลาดส่งออกข้าวในปี 2568 มีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง และราคามีแนวโน้มลดลง แม้ในช่วงปลายปี 2567 และต้นปี 2568 จะยังมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากการเร่งนำเข้าก่อนช่วงเทศกาลตรุษจีน แต่หลังตรุษจีนยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจกระทบต่อการส่งออกข้าว เบื้องต้นคาดว่าการส่งออกข้าวไทยจะลดลงจากราว 9.5-9.7 ล้านตัน ในปี 2567 เหลือ 6-7 ล้านตัน ในปี 2568 สำหรับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าว ในปี 2568 จะยังไม่ใช่ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดและการส่งออกข้าวของไทย แต่ในระยะ 5 ปีข้างหน้าหลายประเทศจะให้ความสำคัญมากขึ้น โดยตลาดข้าวคาร์บอนต่ำคาดว่าจะเริ่มในยุโรปเป็นตลาดแรก ขณะที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดหลักของข้าวหอมมะลิไทย (ส่งออกเฉลี่ยปีละ 5 แสนตัน) อาจยังมีผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ได้ให้ความสำคัญปัญหาโลกร้อน แต่ก็เป็นประเด็นที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ มิเช่นนั้นอาจมีผลต่อตลาดข้าวไทยในอนาคต (ประชาชาติธุรกิจ, 6-8 ม.ค. 2568) 09.01.2025 39 เวียดนามลุยปลูกข้าวคาร์บอนต่ำ ตั้งเป้า 6.5 ล้านไร่-13 ล้านตันในปี 2573 สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ ประเทศเวียดนามรายงานว่า รัฐบาลเวียดนามได้อนุมัติโครงการพัฒนาข้าวคุณภาพสูงและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ เพื่อเป้าหมายการเติบโตสีเขียวในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ปี 2567-2568 พื้นที่ 200,000 เฮกตาร์ (1.25 ล้านไร่) และระยะที่ 2 ปี 2569-2573 มุ่งเน้นลงทุนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและปรับปรุงขีดความสามารถของทั้งระบบ เพื่อขยายข้าวคุณภาพสูงและปล่อยมลพิษต่ำเพิ่มเติมอีก 800,000 เฮกตาร์ (5 ล้านไร่) โดยมีเป้าหมายว่าภายในปี 2573 พื้นที่ 12 จังหวัดบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงจะมีการปลูกข้าวคุณภาพสูง 1 ล้านเฮกตาร์ (6.25 ล้านไร่) ได้ผลผลิตสูงถึงเกือบ 13 ล้านตัน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลกำไรให้แก่เกษตรกร อนึ่ง ข้าวคาร์บอนต่ำคือข้าวที่ผลิตและแปรรูปด้วยวิธีการและเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ว่าจะเป็นการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ช่วยลดการใช้น้ำในการเพาะปลูก ลดปริมาณก๊าซมีเทนที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ การใช้ปุ๋ยอินทรีย์แทนปุ๋ยเคมี การจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร เช่น ไม่เผาฟางข้าว เป็นต้น ทั้งนี้ เวียดนามมีพื้นที่ปลูกข้าว 47 ล้านไร่ ผลผลิตข้าวเฉลี่ยปีละ 42 ล้านตันข้าวเปลือก และรัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าว่าในปี 2030 (ปี 2573) ต้องลดการปล่อยก๊าซฯ จากข้าวให้ได้ 6.5 ล้านตันคาร์บอน ขณะที่ไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในนาข้าวเฉลี่ย 43 ล้านตันคาร์บอน คิดเป็น 9% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังไม่มีเป้าหมายในการลดก๊าซฯ ที่ชัดเจน แม้ที่ผ่านมาไทยมีการส่งเสริมการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำ อาทิ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Thai Rice NAMA) แต่ยังได้รับความสนใจและความร่วมมือน้อยมาก (ประชาชาติธุรกิจ, 6-8 ม.ค. 2568) 09.01.2025 25 คาดส่งออกสิ่งทอ-เครื่องนุ่งห่มปี 2568 ขยายตัว 3-5% สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทยเปิดเผยว่า การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำให้การค้าระหว่างประเทศแข่งขันรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการออกมาตรการกีดกันทางการค้า ซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการค้าและการส่งออกทั่วโลก สำหรับการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ตลาดหลักยังคงเป็นสหรัฐฯ ด้วยสัดส่วนราว 37% ญี่ปุ่น 20% ทั้งนี้ คาดว่าการส่งออกในปี 2567 ยังขยายตัวและมีทิศทางที่สดใส รวมทั้งคาดว่าการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในปี 2568 จะยังขยายตัวอยู่ในกรอบ 3-5% หากไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติและไม่มีการสู้รบเพิ่มขึ้น สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มองโอกาสขยายการลงทุนไปแอฟริกาและอียิปต์ เพื่อใช้ประโยชน์ในการส่งออกสินค้าเข้าไปในตลาดยุโรปและประเทศใกล้เคียง (www.prachachat.net, 27 พ.ย. 2567) 03.12.2024 208 ผู้ส่งออกเผยน้ำท่วมยังไม่กระทบข้าว คาดผลผลิตปี 2567 เพิ่มเป็น 33-34 ล้านตันข้าวเปลือก สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเปิดเผยว่า ปัจจุบันพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญของไทยยังไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ขณะที่น้ำท่วมภาคเหนือส่งผลเสียหายต่อพื้นที่ปลูกข้าวบางส่วน และเกษตรกรอาจกลับมาปลูกข้าวอีกครั้งหลังน้ำลด จึงยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด สำหรับผลผลิตข้าวในปี 2567 คาดว่าน่าจะมีมากกว่าปีที่ผ่านมา เพราะผลผลิตออกมาดีทั้งข้าวนาปีและนาปรัง โดยสมาคมฯ ประเมินไว้ราว 33-34 ล้านตันข้าวเปลือก สูงกว่า 32 ล้านตันข้าวเปลือกในปี 2566 เนื่องจากเขื่อนสำคัญมีปริมาณน้ำเต็มเขื่อนซึ่งจะช่วยการปลูกข้าวนาปรังในปี 2568 สำหรับการส่งออกข้าวของไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ไทยส่งออกข้าวไปแล้ว 7 ล้านตัน ส่วนช่วงปลายปี 2567 ข้าวหอมมะลิจะออกสู่ตลาด ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ยังมีความต้องการสั่งซื้ออยู่ ทำให้คาดว่าในไตรมาส 4/2567 ไทยจะยังส่งออกได้เดือนละ 6 แสนตัน ซึ่งจะทำให้การส่งออกข้าวทั้งปีมีปริมาณรวม 8.6 -8.7 ล้านตัน แม้ว่าอินเดียจะกลับมาส่งออกข้าวขาวอีกครั้ง แต่ที่น่าเป็นห่วงคือการส่งออกในปี 2568 เนื่องจาก 40% ของยอดส่งออกข้าวทั้งหมดเป็นการส่งออกข้าวขาว ซึ่งหากไทยส่งออกข้าวขาวลดลงเพราะอินเดียกลับมาส่งออกอีกครั้ง ก็จะส่งผลให้ปริมาณส่งออกข้าวโดยรวมของไทยลดลงด้วย ทั้งนี้ แต่ละปีอินเดียส่งออกข้าวขาว 5-6 ล้านตัน ส่วนในช่วง 2 ปีที่อินเดียห้ามส่งออกข้าวขาว ไทยได้รับอานิสงส์ส่งออกข้าวขาวได้เพิ่ม 2 ล้านตัน (www.bangkokbiznews.com, 16 ต.ค. 2567) 03.12.2024 113 กระทรวงเกษตรฯ ดันข้าวคาร์บอนต่ำ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่า รัฐบาลได้มีโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ใน 7 พืชเศรษฐกิจนำร่อง ได้แก่ อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ทุเรียน และมะม่วง สำหรับข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์อยู่ระหว่างการผลักดันการปลูกข้าวและพืชเกษตรอื่นๆ เพื่อลดก๊าซเรือนกระจก และส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการขายคาร์บอนเครดิตเพื่อเพิ่มรายได้ ซึ่งในภาพรวมยังมีความก้าวหน้าไม่มากนัก เพราะโครงการลดก๊าซเรือนกระจกของไทยยังไม่ได้เป็นภาคบังคับ ทำให้แรงจูงใจในการเข้าร่วมโครงการยังมีไม่มาก ทั้งนี้ การส่งออกข้าวในปัจจุบัน นอกจากแข่งขันกันด้วยราคาและคุณภาพแล้ว ยังต้องใส่ใจในการรักษาสิ่งแวดล้อมและช่วยลดโลกร้อนด้วย การทำนาที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและจำหน่ายข้าวรักษ์โลกจึงกำลังเป็นที่ต้องการของประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง EU และสหรัฐฯ และเป็นจุดขายใหม่ที่ประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับต้นๆ ของโลกกำลังแข่งขันกันเพื่อพัฒนาข้าวคาร์บอนต่ำ ซึ่งคาดว่าจะได้ราคาสูงกว่าข้าวทั่วไปและเป็นที่ต้องการของตลาดในอนาคต ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเวียดนาม ที่มีพื้นที่ปลูกข้าวราว 47 ล้านไร่ ได้มีแผนปฏิบัติการในการทำนาลดก๊าซเรือนกระจก (GHG) โดยตั้งเป้าหมายไว้ 1.7 ล้านเฮกตาร์ หรือ 10.7 ล้านไร่ เพื่อลด GHG ลง 6.5 ล้านตันคาร์บอนในปี 2573 จากปัจจุบันที่ปล่อย GHG ราวปีละ 30 ล้านตันคาร์บอน (ฐานเศรษฐกิจ, 13-16 ต.ค. 2567) 29.11.2024 136 จับตาเวียดนามคู่แข่งส่งออกมะพร้าวในตลาดจีน สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ เมืองหนานหนิง ประเทศจีน เปิดเผยว่า ปัจจุบันไทยยังเป็นแหล่งนำเข้ามะพร้าวอันดับ 1 ของจีน อย่างไรก็ตาม การที่จีนอนุญาตให้นำเข้ามะพร้าวจากเวียดนามอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค. 2567 เป็นต้นมา อาจมีผลให้มะพร้าวจากเวียดนามเข้ามาแข่งขันรุนแรงขึ้นในตลาดจีน โดยเวียดนามได้เปรียบด้านระยะทางขนส่งไปจีนใกล้กว่า ปริมาณผลผลิตสูง และราคาจำหน่ายถูกกว่า ทั้งนี้ ปัจจุบันเวียดนามมีผลผลิตมะพร้าวราว 2 ล้านตัน และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มเป็น 2.1-2.3 ล้านตันในปี 2573 (กรุงเทพธุรกิจ, 26 พ.ย. 2567) 27.11.2024 147 ไทยจ่อเสียตำแหน่งตลาดรถยนต์อันดับ 3 ในอาเซียน Nikkei Asia รายงานว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ในไตรมาส 3/2567 ของไทยปรับลดลงถึง 28% (y-o-y) จากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงจนส่งผลกระทบถึงสินเชื่อรถยนต์ในประเทศ ทำให้ยอดจำหน่ายรถยนต์ของไทยลดลงมากที่สุดในกลุ่ม 5 ประเทศผู้ผลิตรถยนต์ในอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งมียอดจำหน่ายรถยนต์ในไตรมาส 3/2567 รวมราว 7.63 แสนคัน หรือลดลง 7% (y-o-y) ขณะเดียวกันยอดจำหน่ายรถยนต์ของฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ใหญ่อันดับ 4 ในภูมิภาค กำลังขยับขึ้นมาติดๆ จนยอดจำหน่ายในไตรมาส 3/2567 ต่ำกว่าไทยเพียง 12,604 คัน จากที่เคยต่ำกว่าไทยถึง 113,111 คัน เมื่อสองปีก่อนหน้า ไทยจึงเสี่ยงที่จะถูกฟิลิปปินส์แซงหน้าขึ้นเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาค ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ระบุว่าความไม่แน่นอนในการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นสาเหตุที่ทำให้ยอดจำหน่ายรถยนต์รวมลดลง ที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ส่งเสริม EV ด้วยโครงการอุดหนุนต่างๆ ซึ่งดึงดูดผู้ผลิต EV จากจีน 7 รายให้เข้ามาลงทุนในไทย แม้ผู้ผลิตเหล่านี้จะยังไม่ได้ผลิตอย่างเต็มกำลังในปัจจุบัน แต่พบว่าอุปทาน EV ในไทยกำลังล้นตลาด เมื่อประกอบกับเป็นช่วงที่กำลังซื้ออ่อนแอจึงเป็นชนวนให้เกิดสงครามราคา ทำให้ผู้ซื้อเลื่อนการซื้อรถยนต์ออกไปเนื่องจากคาดการณ์ว่าราคาจะลดลงอีกในอนาคต (กรุงเทพธุรกิจ, 19 พ.ย. 2567) 20.11.2024 160 ผู้ส่งออกหวั่นบาทแข็ง-อินเดียฉุดส่งออกข้าวปี 2568 จากการที่ทางการอินเดียได้อนุมัติให้กลับมาส่งออกข้าวขาวที่ไม่ใช่ข้าวบาสมาติอีกครั้ง และยังกำหนดราคาขั้นต่ำสำหรับการส่งออกข้าวขาวที่ตันละ 490 ดอลลาร์สหรัฐนั้น สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่พบว่าอินเดียได้รับคำสั่งซื้อใหม่ เนื่องจากผู้นำเข้ายังรอดูสถานการณ์ผลผลิตที่จะออกในช่วงปลายปี 2567 แต่ก็ทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกปรับลดลง และจะทำให้ตลาดส่งออกข้าวจากนี้มีการแข่งขันด้านราคามากขึ้น ทั้งนี้ สมาคมฯ ยังคงเป้าหมายการส่งออกข้าวไทยปี 2567 ที่ 8.5 ล้านตัน โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีส่งออกได้แล้ว 7 ล้านตัน และใน 3 เดือนสุดท้ายของปี เชื่อว่าไทยยังส่งออกข้าวได้เฉลี่ยเดือนละ 500,000 ตัน ซึ่งทำให้การส่งออกเข้าทั้งปีเป็นไปได้ตามเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือการส่งออกข้าวในปี 2568 ที่มองว่าจะมีโอกาสส่งออกเหลือเพียง 6.5 ล้านตัน เนื่องจากอุปทานข้าวในตลาดโลกมีมาก ประกอบกับคาดว่าอินโดนีเซียที่เดิมมีการนำเข้าเฉลี่ยปีละ 4 ล้านตัน จะนำเข้าลดลงเหลือราว 1.5 ล้านตัน ในปี 2568 อีกทั้งเงินบาทที่แข็งค่าจะมีผลต่อการแข่งขันด้านราคา (ประชาชาติธุรกิจ, 3-6 ต.ค. 2567) 15.11.2024 134 อินเดียไฟเขียวส่งออกข้าวขาว-ลดภาษีส่งออกข้าว ดึงราคาลงทั้งแผง เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2567 รัฐบาลอินเดียได้ประกาศลดภาษีส่งออกข้าวนึ่งลงจาก 20% เหลือ 10% เช่นเดียวกับที่ลดภาษีส่งออกข้าวกล้องลงเหลือ 10% ขณะที่ลดภาษีส่งออกข้าวขาวลงเหลือ 0% เพื่อกระตุ้นการส่งออกข้าว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ประกาศยกเลิกราคาส่งออกข้าวขั้นต่ำของข้าวบาสมาติไปแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2567 ได้ประกาศยกเลิกการห้ามส่งออกข้าวขาวที่มิใช่ข้าวบาสมาติ โดยกำหนดราคาส่งออกขั้นต่ำไว้ที่ตันละ 490 ดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากสต็อกข้าวของอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยสต็อกข้าว ณ วันที่ 1 ก.ย. 2567 อยู่ที่ 32.3 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 38.6% (y-o-y) ทำให้อินเดียมีข้าวเหลือมากขึ้นสำหรับการส่งออก สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ราคาข้าวโลกปรับลดลงทันที โดยเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2567 ราคาข้าวนึ่ง 5% ของอินเดีย ลดลงจากตันละ 530-536 ดอลลาร์สหรัฐ ในสัปดาห์ก่อนหน้า เหลือตันละ 500-510 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ราคาข้าวขาว 5% ลดลงเหลือราวตันละ 490 ดอลลาร์สหรัฐ เช่นเดียวกับราคาส่งออกข้าวของไทย เวียดนาม ปากีสถาน และเมียนมา ที่ลดลงไม่ต่ำกว่าตันละ 10 ดอลลาร์สหรัฐในวันเดียวกัน (www.reuters.com, 30 ก.ย. 2567) 15.11.2024 134 link อื่นๆ more Financial Products more ดู Links ทั้งหมด