ข่าวเศรษฐกิจประเทศเป้าหมาย

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping Duty : AD) และอากรตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty : CVD) ขั้นสุดท้าย สำหรับโซลาร์เซลล์ (ไม่ว่าจะประกอบเป็นแผงแล้วหรือไม่ก็ตาม) จากไทย เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา อย่างเป็นทางการ โดยผู้ส่งออกโซลาร์เซลล์จากไทย ถูกเรียกเก็บ AD และ CVD ในอัตราดังนี้  - Sunshine Electrical Energy และ Taihua New Energy (Thailand) อัตรา AD 172.68% และ CVD 799.55% (รวม 972.23%)  - Trina Solar Science & Technology (Thailand) และผู้ส่งออกรายอื่นๆ อัตรา AD 111.45% และ CVD 263.74% (รวม 375.19%)  ส่วนผู้ส่งออกจากเวียดนามถูกเรียกเก็บ AD ในอัตรา 52.54-271.28% และ CVD 68.15-542.64% มาเลเซีย AD 0-81.24% และ CVD 14.64-168.80% ขณะที่กัมพูชาถูกเรียกเก็บ AD ในอัตรา AD 117.18% และ CVD สูงถึง 534.67-3,403.96% เนื่องจากผู้ผลิตไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวน  อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (US ITC) จะตัดสินใจอีกครั้งในราว 1 เดือนว่าผู้ผลิตในสหรัฐฯ ได้รับอันตรายหรือถูกคุกคามจากการนำเข้าหรือไม่ ทั้งนี้ การตัดสินใจของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะของภาคการผลิตในสหรัฐฯ แต่ก็เสี่ยงจะเพิ่มต้นทุนในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐฯ ซึ่งกำลังเผชิญกับอุปสรรคด้านนโยบายและเศรษฐกิจ จากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามส่งเสริมเชื้อเพลิงฟอสซิล และลดการสนับสนุนโครงการสีเขียวลง (https://www.trade.gov, 21 เม.ย. 2568 และ www.bangkokbiznews.com, 22 เม.ย. 2568) 

09.05.2025

สำนักข่าว Bloomberg รายงานคำเตือนของนักเศรษฐศาสตร์ว่า สงครามการค้าขั้นต่อไปของทรัมป์จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั่วภูมิภาคเอเชีย โดยอินเดียและไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงจากนโยบายการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ทางการค้า เพราะมีอัตราภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้าส่งออกของสหรัฐฯ สูงกว่าภาษีที่สหรัฐฯ เก็บจากสินค้านำเข้าจากอินเดียและไทย โดยอัตราภาษีเฉลี่ยที่อินเดียเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ สูงถึง 9.5% สูงกว่าอัตราภาษีเฉลี่ยที่สหรัฐฯ เก็บจากสินค้าอินเดียที่ 3% ขณะที่ภาษีเฉลี่ยที่ไทยเรียกเก็บจากสหรัฐฯ อยู่ที่ 6.2% เทียบกับเฉลี่ย 0.9% ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากไทย จึงคาดว่าอินเดียและไทยอาจถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าอีก 4-6% เพื่อลดช่องว่างของอัตราภาษีที่แตกต่างกัน (https://economictimes.indiatimes.com, 11 ก.พ. 2568 และกรุงเทพธุรกิจ, 12 ก.พ. 2568)

14.03.2025

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในปี 2567 ไทยส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น 13% เป็น 9.95 ล้านตัน ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 9 ล้านตัน และเป็นปริมาณส่งออกที่สูงที่สุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่ปี 2561 ทำรายได้เข้าประเทศสูงถึง 6,434 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันเป็นผลมาจากความต้องการนำเข้าข้าวเพื่อรองรับความต้องการบริโภค ชดเชยผลผลิตที่ลดลง บรรเทาผลกระทบจากเงินเฟ้อด้านอาหาร และเพื่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศผู้ซื้อ สำหรับข้าวที่ไทยส่งออกได้มากที่สุด คือ ข้าวขาว 5.99 ล้านตัน คิดเป็น 60% ของปริมาณส่งออกข้าวไทยทั้งหมด รองลงมา คือ ข้าวหอมมะลิไทย 1.74 ล้านตัน ข้าวนึ่ง 1.27 ล้านตัน และข้าวหอมไทย 0.63 ล้านตัน  สำหรับแนวโน้มการส่งออกข้าวปี 2568 คาดว่าตลาดข้าวโลกจะมีการแข่งขันสูงจากการกลับมาส่งออกข้าวของอินเดีย และปริมาณผลผลิตข้าวของทั้งประเทศผู้ส่งออกและผู้นำเข้าข้าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากภาวะภัยแล้งคลี่คลาย ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจอาจทำให้ผู้ซื้ออ่อนไหวกับราคามากขึ้น อีกทั้งผู้นำเข้าสำคัญอย่างอินโดนีเซียอาจต้องการนำเข้าข้าวลดลง เนื่องจากคาดว่าผลผลิตข้าวในประเทศจะมีปริมาณเพิ่มขึ้น และได้สำรองข้าวไว้ค่อนข้างมากแล้ว ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศและสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยคาดการณ์ร่วมกันว่าการส่งออกข้าวไทยในปี 2568 จะมีประมาณ 7.5 ล้านตัน (https://mgronline.com, 29 ม.ค. 2568) 

05.02.2025

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยว่า ในปี 2567 บริษัทฯ มียอดจำหน่ายที่ดินรวม 2,565 ไร่ แบ่งเป็นในไทย 2,453 ไร่ และเวียดนาม 112 ไร่ และมียอดโอนที่ดินรวม 2,070 ไร่ แบ่งเป็นในไทย 1,727 ไร่ และเวียดนาม 343 ไร่ โดยลูกค้ารายสำคัญ คือ Google ได้ลงนามสัญญาซื้อขายที่ดินเพื่อสร้าง Data Center แห่งแรกในไทย และ Haier เพื่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศครบวงจรแห่งใหม่ ปัจจุบันบริษัทฯ มีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในไทยกำลังก่อสร้างและรอพัฒนา 7 โครงการ พื้นที่ 8,810 ไร่ สำหรับโครงการในเวียดนามยังขยายต่อเนื่อง โดยมี 2 โครงการ ขนาดพื้นที่ 2,297 ไร่ ที่ได้รับอนุมัติใบอนุญาตลงทุนแล้ว และ 1 โครงการ ขนาด 1,094 ไร่ ที่อยู่ระหว่างการขออนุมัติใบอนุญาตลงทุน   สำหรับปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดจำหน่ายที่ดินรวม 2,350 ไร่ โดยจะเน้นดึงนักลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมใหม่ ครบวงจร เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ มองว่าสงครามการค้าในยุคทรัมป์ 2.0 อาจช่วยสร้างโอกาสในการเข้ามาลงทุนในอาเซียน รวมถึงไทย มากขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ, 29 ม.ค. 2568 และประชาชาติธุรกิจ, 30 ม.ค.-2 ก.พ. 2568) 

05.02.2025

สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเปิดเผยว่า การส่งออกในข้าวปี 2568 จะพบว่าผู้ซื้อมีการนำเข้าลดลงจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตในหลายประเทศที่เป็นผู้ส่งออกดีขึ้น เช่น ไทย เวียดนาม กัมพูชา เมียนมา รวมถึงจีน หรือแม้กระทั่งในประเทศผู้นำเข้าสำคัญอย่างอินโดนีเซีย ก็มีการประเมินว่าจะนำเข้าข้าวลดลงจาก 4 ล้านตัน เหลือ 1-1.5 ล้านตัน เพราะผลผลิตในประเทศดีขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ การที่อินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาวอีกครั้ง จะทำให้ตลาดส่งออกข้าวในปี 2568 มีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง และราคามีแนวโน้มลดลง แม้ในช่วงปลายปี 2567 และต้นปี 2568 จะยังมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากการเร่งนำเข้าก่อนช่วงเทศกาลตรุษจีน แต่หลังตรุษจีนยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจกระทบต่อการส่งออกข้าว เบื้องต้นคาดว่าการส่งออกข้าวไทยจะลดลงจากราว 9.5-9.7 ล้านตัน ในปี 2567 เหลือ 6-7 ล้านตัน ในปี 2568  สำหรับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าว ในปี 2568 จะยังไม่ใช่ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดและการส่งออกข้าวของไทย แต่ในระยะ 5 ปีข้างหน้าหลายประเทศจะให้ความสำคัญมากขึ้น โดยตลาดข้าวคาร์บอนต่ำคาดว่าจะเริ่มในยุโรปเป็นตลาดแรก ขณะที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดหลักของข้าวหอมมะลิไทย (ส่งออกเฉลี่ยปีละ 5 แสนตัน) อาจยังมีผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ได้ให้ความสำคัญปัญหาโลกร้อน แต่ก็เป็นประเด็นที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ มิเช่นนั้นอาจมีผลต่อตลาดข้าวไทยในอนาคต  (ประชาชาติธุรกิจ, 6-8 ม.ค. 2568)  

09.01.2025

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ ประเทศเวียดนามรายงานว่า รัฐบาลเวียดนามได้อนุมัติโครงการพัฒนาข้าวคุณภาพสูงและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ เพื่อเป้าหมายการเติบโตสีเขียวในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ปี 2567-2568 พื้นที่ 200,000 เฮกตาร์ (1.25 ล้านไร่) และระยะที่ 2 ปี 2569-2573 มุ่งเน้นลงทุนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและปรับปรุงขีดความสามารถของทั้งระบบ เพื่อขยายข้าวคุณภาพสูงและปล่อยมลพิษต่ำเพิ่มเติมอีก 800,000 เฮกตาร์ (5 ล้านไร่) โดยมีเป้าหมายว่าภายในปี 2573 พื้นที่ 12 จังหวัดบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงจะมีการปลูกข้าวคุณภาพสูง 1 ล้านเฮกตาร์ (6.25 ล้านไร่) ได้ผลผลิตสูงถึงเกือบ 13 ล้านตัน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลกำไรให้แก่เกษตรกร  อนึ่ง ข้าวคาร์บอนต่ำคือข้าวที่ผลิตและแปรรูปด้วยวิธีการและเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ว่าจะเป็นการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ช่วยลดการใช้น้ำในการเพาะปลูก ลดปริมาณก๊าซมีเทนที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ การใช้ปุ๋ยอินทรีย์แทนปุ๋ยเคมี การจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร เช่น ไม่เผาฟางข้าว เป็นต้น ทั้งนี้ เวียดนามมีพื้นที่ปลูกข้าว 47 ล้านไร่ ผลผลิตข้าวเฉลี่ยปีละ 42 ล้านตันข้าวเปลือก และรัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าว่าในปี 2030 (ปี 2573) ต้องลดการปล่อยก๊าซฯ จากข้าวให้ได้ 6.5 ล้านตันคาร์บอน ขณะที่ไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในนาข้าวเฉลี่ย 43 ล้านตันคาร์บอน คิดเป็น 9% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังไม่มีเป้าหมายในการลดก๊าซฯ ที่ชัดเจน แม้ที่ผ่านมาไทยมีการส่งเสริมการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำ อาทิ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Thai Rice NAMA) แต่ยังได้รับความสนใจและความร่วมมือน้อยมาก (ประชาชาติธุรกิจ, 6-8 ม.ค. 2568) 

09.01.2025

สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทยเปิดเผยว่า การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำให้การค้าระหว่างประเทศแข่งขันรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการออกมาตรการกีดกันทางการค้า ซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการค้าและการส่งออกทั่วโลก สำหรับการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ตลาดหลักยังคงเป็นสหรัฐฯ ด้วยสัดส่วนราว 37% ญี่ปุ่น 20% ทั้งนี้ คาดว่าการส่งออกในปี 2567 ยังขยายตัวและมีทิศทางที่สดใส รวมทั้งคาดว่าการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในปี 2568 จะยังขยายตัวอยู่ในกรอบ 3-5% หากไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติและไม่มีการสู้รบเพิ่มขึ้น สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มองโอกาสขยายการลงทุนไปแอฟริกาและอียิปต์ เพื่อใช้ประโยชน์ในการส่งออกสินค้าเข้าไปในตลาดยุโรปและประเทศใกล้เคียง (www.prachachat.net, 27 พ.ย. 2567) 

03.12.2024

สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเปิดเผยว่า ปัจจุบันพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญของไทยยังไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ขณะที่น้ำท่วมภาคเหนือส่งผลเสียหายต่อพื้นที่ปลูกข้าวบางส่วน และเกษตรกรอาจกลับมาปลูกข้าวอีกครั้งหลังน้ำลด จึงยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด สำหรับผลผลิตข้าวในปี 2567 คาดว่าน่าจะมีมากกว่าปีที่ผ่านมา เพราะผลผลิตออกมาดีทั้งข้าวนาปีและนาปรัง โดยสมาคมฯ ประเมินไว้ราว 33-34 ล้านตันข้าวเปลือก สูงกว่า 32 ล้านตันข้าวเปลือกในปี 2566 เนื่องจากเขื่อนสำคัญมีปริมาณน้ำเต็มเขื่อนซึ่งจะช่วยการปลูกข้าวนาปรังในปี 2568   สำหรับการส่งออกข้าวของไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ไทยส่งออกข้าวไปแล้ว 7 ล้านตัน ส่วนช่วงปลายปี 2567 ข้าวหอมมะลิจะออกสู่ตลาด ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ยังมีความต้องการสั่งซื้ออยู่ ทำให้คาดว่าในไตรมาส 4/2567 ไทยจะยังส่งออกได้เดือนละ 6 แสนตัน ซึ่งจะทำให้การส่งออกข้าวทั้งปีมีปริมาณรวม 8.6 -8.7 ล้านตัน แม้ว่าอินเดียจะกลับมาส่งออกข้าวขาวอีกครั้ง แต่ที่น่าเป็นห่วงคือการส่งออกในปี 2568 เนื่องจาก 40% ของยอดส่งออกข้าวทั้งหมดเป็นการส่งออกข้าวขาว ซึ่งหากไทยส่งออกข้าวขาวลดลงเพราะอินเดียกลับมาส่งออกอีกครั้ง ก็จะส่งผลให้ปริมาณส่งออกข้าวโดยรวมของไทยลดลงด้วย ทั้งนี้ แต่ละปีอินเดียส่งออกข้าวขาว 5-6 ล้านตัน ส่วนในช่วง 2 ปีที่อินเดียห้ามส่งออกข้าวขาว ไทยได้รับอานิสงส์ส่งออกข้าวขาวได้เพิ่ม 2 ล้านตัน (www.bangkokbiznews.com, 16 ต.ค. 2567) 

03.12.2024

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่า รัฐบาลได้มีโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ใน 7 พืชเศรษฐกิจนำร่อง ได้แก่ อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ทุเรียน และมะม่วง สำหรับข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์อยู่ระหว่างการผลักดันการปลูกข้าวและพืชเกษตรอื่นๆ เพื่อลดก๊าซเรือนกระจก และส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการขายคาร์บอนเครดิตเพื่อเพิ่มรายได้ ซึ่งในภาพรวมยังมีความก้าวหน้าไม่มากนัก เพราะโครงการลดก๊าซเรือนกระจกของไทยยังไม่ได้เป็นภาคบังคับ ทำให้แรงจูงใจในการเข้าร่วมโครงการยังมีไม่มาก  ทั้งนี้ การส่งออกข้าวในปัจจุบัน นอกจากแข่งขันกันด้วยราคาและคุณภาพแล้ว ยังต้องใส่ใจในการรักษาสิ่งแวดล้อมและช่วยลดโลกร้อนด้วย การทำนาที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและจำหน่ายข้าวรักษ์โลกจึงกำลังเป็นที่ต้องการของประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง EU และสหรัฐฯ และเป็นจุดขายใหม่ที่ประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับต้นๆ ของโลกกำลังแข่งขันกันเพื่อพัฒนาข้าวคาร์บอนต่ำ ซึ่งคาดว่าจะได้ราคาสูงกว่าข้าวทั่วไปและเป็นที่ต้องการของตลาดในอนาคต ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเวียดนาม ที่มีพื้นที่ปลูกข้าวราว 47 ล้านไร่ ได้มีแผนปฏิบัติการในการทำนาลดก๊าซเรือนกระจก (GHG) โดยตั้งเป้าหมายไว้ 1.7 ล้านเฮกตาร์ หรือ 10.7 ล้านไร่ เพื่อลด GHG ลง 6.5 ล้านตันคาร์บอนในปี 2573 จากปัจจุบันที่ปล่อย GHG ราวปีละ 30 ล้านตันคาร์บอน (ฐานเศรษฐกิจ, 13-16 ต.ค. 2567)

29.11.2024
link อื่นๆ
  • Relate Preview
  • Relate Preview
Financial Products
  • Finance Preview
  • Finance Preview
  • Finance Preview