ส่องเทรนด์โลก

จับสัญญาณความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์…ความเสี่ยงที่ผู้ส่งออกต้องพร้อมรับมือ

การส่งออกของไทยกลับมาขยายตัวได้ราว 0.3% ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 จากที่หดตัว -3.5% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการขยายตัวของการค้าระหว่างประเทศ โดย UN Trade and Development (UNCTAD) ได้ติดตามสถานการณ์และพบว่าการค้าโลกไตรมาส 1 ปี 2567 ขยายตัวราว 1% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มเป็น 2% ในไตรมาส 2 ขณะที่ทิศทางการค้าโลกทั้งปี 2567 มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวหลังจากในปีที่ผ่านมาหดตัวลง 3% อย่างไรก็ตาม บริบทโลกในปัจจุบันทำให้แนวโน้มการค้าโลกบิดเบี้ยวไปจากอดีต จากความเปราะบางของเศรษฐกิจโลกและนำมาซึ่งความผันผวนโดยเฉพาะความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่เป็นความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อการค้าโลก ตลอดจนทิศทางการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้า ซึ่งผู้ส่งออกต้องพร้อมรับมือ โดยปัญหา Geopolitics ที่ยังคงต้องติดตาม มีดังนี้

ความขัดแย้งสหรัฐฯ-จีน กับผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่อาจนำไปสู่ Trade War II

      การเลือกตั้งสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ทั่วโลกต่างจับตามอง เนื่องจากหากนายโดนัล ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งกลับมาเป็นประธานาธิบดี แนวนโยบายของนายทรัมป์จะส่งผลกระทบหลากหลายต่อการค้าโลก ซึ่งหากจะย้อนเหตุการณ์ดังกล่าว ก็คงต้องกล่าวถึง Trade War จนถึง Tech War ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งเป็นช่วงนายทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อรูปแบบ Supply Chain โลก ไปจนถึงการส่งออกของประเทศต่างๆ รวมถึงไทย โดยในช่วงเวลานั้นไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มากขึ้น แต่ก็ส่งออกไปจีนลดลง ขณะที่การค้าโลกก็ซบเซาจาก Trade War ระหว่างทั้งสองประเทศ ทำให้การส่งออกไทยในปี 2562 หดตัว 2.6%

       สำหรับการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ นายทรัมป์กล่าวไว้ในช่วงหาเสียงว่าจะขึ้นภาษีนำเข้ากับทุกประเทศ 10% หลังจากในช่วงที่ผ่านมาจีนแก้เกม Trade War ด้วยการกระจายฐานการผลิตของตนออกไปยังประเทศต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ ดังนั้น หากนายทรัมป์ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ก็จะส่งผลกระทบต่อการค้าโลกอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นอกจากนี้ ไทยยังมีความเสี่ยงที่จะโดนมาตรการตอบโต้จากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่มีการลงทุนของจีนในไทย

สงครามระหว่างอิสราเอลกับคู่กรณี … ความขัดแย้งที่มีผลต่อเงินเฟ้อโลก

      สถานการณ์สงครามของอิสราเอลนั้นได้ขยายวงไปรอบด้านทั้งกับกลุ่มฮามาส กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน และกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน ซึ่งแม้อิสราเอลจะมีศักยภาพทางการทหารที่เหนือกว่าคู่กรณี แต่ท่าทีของอิสราเอลที่แข็งกร้าวในปัจจุบันและเน้นปฏิบัติการทางทหารรุกโจมตีคู่กรณี โดยเฉพาะกลุ่มฮามาสและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ทำให้เกิดความเสี่ยงที่อิหร่านซึ่งเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มดังกล่าว จะตอบโต้คืน ซึ่งแม้ว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นว่าสถานการณ์จะไม่พัฒนาจนกลายเป็นสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านอย่างเต็มรูปแบบ แต่ก็ไม่อาจวางใจ เพราะในปัจจุบันสถานการณ์ในภูมิภาคดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อเส้นทางการเดินเรือที่สำคัญอย่างช่องแคบ Bab-El-Mandeb และคลองสุเอซ ซึ่งถือเป็นเส้นทางหลักสำหรับเดินเรือขนส่งสินค้าจากเอเชียไปยังยุโรป เนื่องจากเรือขนส่งสินค้าส่วนหนึ่งเลือกที่จะหลีกเลี่ยงเส้นทางดังกล่าว โดยการเดินเรืออ้อมทวีปแอฟริกา ส่งผลกระทบต่อค่าระวางเรือ นอกจากนี้ ความ ไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลางมีผลต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งค่าระวางเรือและราคาน้ำมันล้วนเป็นปัจจัยสำคัญต่อเงินเฟ้อโลก ดังนั้น หากสงครามของอิสราเอลกับคู่ขัดแย้งยกระดับขึ้น โดยเฉพาะกรณีอิหร่านเข้ามาทำสงครามด้วย ก็จะมีผลกระทบต่อเงินเฟ้อโลกอย่างมีนัยสำคัญและจะกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจและการค้าโลกสะดุดลงได้อีกครั้ง

      นอกจากปัญหา Geopolitics ที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อมาราว 30 เดือน ไปจนถึงปัญหา Geopolitics ใกล้ตัวอย่างความขัดแย้งในเมียนมาซึ่งนับเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าใกล้ชิดกับไทย โดยทั้ง 2 กรณียังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงในเร็ววัน

แนวทางการรับมือความเสี่ยง Geopolitics

     ผู้ประกอบการควรต้องเตรียมพร้อมรับกับความเสี่ยง Geopolitics ดังกล่าว โดยอาจเริ่มจากการทำ (1) Scenario Planning สร้างสถานการณ์จำลองที่อาจเกิดขึ้นและวิเคราะห์ผลกระทบต่อธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเตรียมตัวรับมือโดยไม่ต้องรอให้เกิดปัญหาแล้วจึงแก้ไข (2) การกระจายตลาดส่งออก เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นในบางภูมิภาค (3) การสร้าง Supply Chain Resilience หรือความยืดหยุ่นในห่วงโซ่อุปทาน เช่น การเพิ่มความหลากหลายของ Supplier การรักษาสินค้าคงคลังเพื่อเป็น Buffer จากความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น และการเตรียมเส้นทางขนส่งทางเลือก เป็นต้น และสุดท้าย (4) การป้องกันความเสี่ยงอย่างครบวงจร

     EXIM BANK พร้อมเคียงข้างผู้ส่งออกในทุกสถานการณ์ โดยได้เตรียมเครื่องมือไว้ให้ผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นบริการประกันการส่งออก ประกันการลงทุน รวมถึงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน อาทิ Forward Contract เพื่อที่ผู้ประกอบการจะไม่ต้องกังวลกับสถานการณ์ไม่คาดคิดที่จะเกิดขึ้นได้ทุกขณะ 

เอกสาร
ที่เกี่ยวข้อง
Most Viewed
more icon
  • Gen Z กับทิศทางตลาดอาหารโลก

    กลุ่ม Gen Z (Generation Z) คือ กลุ่มคนที่เกิดในช่วงหลังปี 2543 ซึ่งปัจจุบันถือเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในวัยเด็กและวัยรุ่นอายุไม่ถึง 20 ปี Gen Z เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่หลายธุรกิจเริ่มให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะเป็นกลุ่มประ...

    calendar icon24.04.2019
  • ทำความรู้จัก Telemedicine... เทรนด์ธุรกิจเติบโตดีหลัง COVID-19

    การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) มีส่วนกระตุ้นให้ประชาชนเริ่มทดลองใช้บริการการแพทย์ทางไกลหรือ Telemedicine มากขึ้น เพราะบริการดังกล่าวทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยได้แม้อยู่คนละที่กับผู้ป่วย ...

    calendar icon31.08.2020
  • เกาะติดกระแสการค้าสินค้าออนไลน์ในกัมพูชา

    กัมพูชาเป็นหนึ่งในประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่เศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน แม้การค้าส่วนใหญ่ยังอยู่ในรูปแบบดั้งเดิม แต่การค้าในรูปแบบของ e-Commerce ก็มีการเติบโตโดดเด่นและเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อ...

    calendar icon31.10.2018
link อื่นๆ
  • Relate Preview
  • Relate Preview
Financial Products
  • Finance Preview
  • Finance Preview
  • Finance Preview