ข่าวเศรษฐกิจ

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT คาดว่าหาก EU ร่วมกันกีดกันไม่ให้เพชรรัสเซียเข้าสู่ตลาด EU ในปี 2566 จะสร้างแรงกดดันต่ออุปทานของเพชรก้อน จนอาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก ขณะที่ความต้องการเพชรยังมีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาเพชรมีแนวโน้มสูงขึ้น และผู้บริโภคอาจหันไปซื้อเพชรสังเคราะห์แทน ขณะที่ผู้ผลิตเพชรสังเคราะห์รายใหม่เข้าสู่ตลาดมากขึ้นและปริมาณเพชรสังเคราะห์เติบโตเร็วกว่าความต้องการ โดยเฉพาะเพชรสังเคราะห์เม็ดใหญ่ ส่งผลให้ราคาลดลง โดย Paul Zimnisky Diamond Analytics ชี้ว่าในไตรมาส 1/2566 เพชรสังเคราะห์ขนาด 1 กะรัตมีราคา 1,450 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 27% ในรอบ 2 ปี ส่วนขนาด 3 กะรัตราคาลดลงกว่าครึ่ง

       ยอดจำหน่ายเพชรในปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตแต่ไม่มากนัก อีกทั้ง The Business Research คาดว่ามูลค่าตลาดเพชรทั่วโลกจะเติบโตราว 5% จาก 2.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 เป็น 2.55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มชนชั้นกลางที่เพิ่มจำนวนขึ้นในจีนและอินเดีย แต่ยังมีปัจจัยบั่นทอนจากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ อีกทั้งการที่หลายประเทศคว่ำบาตรรัสเซียอาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก

       สำหรับกลุ่มลูกค้าที่จะส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่ายเพชรในปี 2566 คือ 1) กลุ่ม Gen Z ซึ่งมักนิยมซื้อเครื่องประดับเพชรแบรนด์เนมและให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีความยั่งยืน และ 2) กลุ่มที่ซื้อเครื่องประดับเพชรเป็นของขวัญให้ตนเอง โดยมักเป็นผู้หญิงที่มีกำลังซื้อสูงและไม่มีภาระครอบครัว (infocenter.git.or.th, 17 มี.ค. 2566)