บทความพิเศษจากกรรมการผู้จัดการ

รัฐบาลปรับเป้า Net Zero ใหม่ ... ผู้ส่งออกไทยต้องไม่ตกขบวน

การเข้ามาดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันทำให้ทั่วโลกพุ่งเป้าความสนใจไปที่สงครามการค้า การขึ้นภาษี และมาตรการทางการค้าต่างๆ ที่สหรัฐฯ ทยอยประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเมื่อประกอบกับท่าทีที่ไม่เชื่อในเรื่องโลกร้อน โดยประกาศถอนตัวจากความตกลงปารีส (Paris Agreement) ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง รวมทั้งการยกเลิกการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนต่างๆ ที่มุ่งไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) จึงทำให้ดูเหมือนว่าประเด็นเกี่ยวกับการทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือการลดการปล่อยคาร์บอน จะได้รับความสนใจน้อยลงบ้างในช่วงที่ทุกคนต้องเร่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ 

แต่กระนั้นธรรมชาติก็ไม่สามารถรอให้ผู้คนหันมาใส่ใจหลังจากปัญหาอื่นสงบลงก่อนได้ ปี 2568 จึงกลายเป็นปีที่โลกต้องเผชิญความผันผวนรอบทิศทาง ทั้งจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลกจนกระทบต่อการค้า-การลงทุน จากสงครามการค้าที่มีศูนย์กลางที่สหรัฐฯ กับคู่ปรับสำคัญอย่างจีน และปัจจุบันได้ลุกลามไปถึงประเทศอื่นๆ ที่เป็นพันธมิตรของทั้งสองฝ่าย ท่ามกลางภัยธรรมชาติที่เกิดบ่อยขึ้นและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก เช่น การที่ฮ่องกงต้องเผชิญกับฝนตกหนักในรอบ 141 ปี และมีฟ้าผ่าเกือบหมื่นครั้งในหนึ่งชั่วโมง หรือการที่สหรัฐฯ ต้องเผชิญวิกฤตไฟป่าครั้งรุนแรงในรัฐแคลิฟอร์เนียที่สร้างความเสียหายไม่ต่ำกว่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งล้วนเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยิ่งล่าสุดที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบการรั่วไหลของก๊าซมีเทนกว่า 40 จุด จากใต้พื้นทะเลในทวีปแอนตาร์กติกา ก็ยิ่งเพิ่มความกังวลว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะยิ่งเร่งให้ภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้น เพราะก๊าซมีเทนเป็นก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บความร้อนได้มากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่า อีกทั้งการรั่วไหลนี้อาจเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกใหม่ที่ยังไม่ได้ถูกรวมอยู่ในการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และอาจเกิดวงจรที่โลกร้อนกระตุ้นให้มีการปล่อยก๊าซมากขึ้น

มาตรการสู้โลกร้อน ... แม้สหรัฐฯ ไม่ใส่ใจ แต่ประเทศอื่นไม่ปล่อยมือ 

แม้ปัจจุบันสหรัฐฯ จะมีท่าทีที่ไม่ค่อยสนับสนุนการร่วมมือกันแก้ปัญหาโลกร้อนนัก ซึ่งทำให้คาดได้ว่าร่างกฎหมาย Clean Competition Act (CCA) ของสหรัฐฯ ที่กำหนดให้สินค้าที่ปล่อยคาร์บอนสูง เช่น เชื้อเพลิงฟอสซิล ปุ๋ย ไฮโดรเจน ซีเมนต์ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม กระจก กระดาษและเยื่อกระดาษ และเอทานอล ทั้งที่ผลิตในสหรัฐฯ และที่นำเข้าจากต่างประเทศจะต้องรายงานข้อมูลปริมาณการปล่อยคาร์บอนทั้งทางตรงและทางอ้อม และสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนสูงกว่าเกณฑ์จะต้องจ่ายภาษีตามปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยเกิน น่าจะยังไม่ผ่านความเห็นชอบในยุคของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้เป็นเหตุให้ประเทศอื่นๆ หยุดหรือยกเลิกความพยายามในการแก้ปัญหาโลกร้อน เพราะต่างตระหนักดีว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องร่วมมือกันแก้ไข ไม่เว้นแม้แต่จีนซึ่งเป็นประเทศที่ปล่อยคาร์บอนมากที่สุด ก็ยังแสดงความกระตือรือร้นที่จะลดการปล่อยคาร์บอน ล่าสุดประธานาธิบดีของจีนได้ประกาศแผนการด้านสภาพภูมิอากาศใหม่ของจีนบนเวทีประชุมสุดยอดผู้นำด้านสภาพอากาศเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 โดยระบุว่าจีนตั้งเป้าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 7-10% จากระดับสูงสุดของประเทศให้ได้ภายในปี 2578 และมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ให้มากขึ้นถึง 6 เท่า จากระดับในปี 2563 ภายใน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยให้การใช้พลังงานที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงฟอสซิลในประเทศมีสัดส่วนมากกว่า 30%  

ทั้งนี้ หากพิจารณาประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย จะเห็นว่ามาตรการแก้ปัญหาโลกร้อนที่เคยประกาศจะเริ่มใช้ ล้วนยังจะมีผลบังคับใช้ตามเดิมโดยไม่มีการยกเลิก อาทิ 

- มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน หรือ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของ EU ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 1 มกราคม 2569 โดยผู้ส่งออกสินค้า 6 หมวด ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย กระแสไฟฟ้า และไฮโดรเจน ไป EU ต้องมีรายงานปริมาณการปล่อยคาร์บอนของสินค้าที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้ตรวจสอบที่ได้รับอนุญาตจาก EU เพื่อให้ผู้นำเข้านำไปรายงานต่อ EU และหากสินค้านั้นปล่อยคาร์บอนสูงกว่าเกณฑ์ที่ EU กำหนด ผู้นำเข้าจะต้องจ่ายภาษีคาร์บอนด้วยการซื้อ CBAM Certificate ตามปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยเกิน ดังนั้น ผู้ผลิตของไทยจึงต้องพยายามลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของสินค้าของตนไว้

- กฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของ EU (EU Deforestation-free Products Regulation : EUDR) ที่มีจุดประสงค์เพื่อห้ามการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายป่าไม้เข้าสู่ตลาด EU ซึ่งกำลังจะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบสำหรับผู้นำเข้ารายใหญ่ใน EU ในวันที่ 30 ธันวาคม 2568 และผู้นำเข้าที่เป็น SMEs ในวันที่ 30 มิถุนายน 2569 โดยกำหนดให้ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าสินค้า 7 กลุ่ม ได้แก่ โค-กระบือ โกโก้ กาแฟ ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ถั่วเหลือง และไม้ รวมถึงผลิตภัณฑ์บางชนิดจากสินค้าเหล่านี้ เช่น เฟอร์นิเจอร์ไม้ และล้อยาง ไปยัง EU ต้องตรวจสอบและรายงานการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า โดยจัดทำเอกสาร Due Diligence ก่อนจำหน่ายสินค้า หากฝ่าฝืนจะมีบทลงโทษ เช่น ถูกเรียกเก็บค่าปรับ หรือถูกยึดสินค้า 

ทั้งนี้ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 EU ได้ประกาศผลการจัดกลุ่มความเสี่ยงของแต่ละประเทศภายใต้กฎหมาย EUDR โดยไทยได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศ "ความเสี่ยงต่ำ" (Low Risk) ซึ่งจะได้รับยกเว้นไม่ต้องทำขั้นตอนประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) และการลดความเสี่ยง (Risk Mitigation) ในกระบวนการ Due Diligence นอกจากนี้ สินค้าที่นำเข้าจากไทยจะถูกสุ่มตรวจเพียง 1% เทียบกับประเทศความเสี่ยงปานกลาง (อาทิ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย) 3% และประเทศความเสี่ยงสูง (อาทิ รัสเซีย และเมียนมา) 9% จึงถือเป็นแต้มต่อของผู้ประกอบการไทยเมื่อเทียบกับคู่แข่งในประเทศอื่นที่มีความเสี่ยงอยู่ในระดับสูงกว่า

ก้าวใหม่ของไทย ... ประกาศเป้าหมายใหม่ บรรลุ Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2050

สำหรับประเทศไทยก็มีความคืบหน้ามากขึ้นในการปรับเปลี่ยนเพื่อมุ่งไปสู่ Net Zero โดยหนึ่งในกฎหมายหลักที่จะขับเคลื่อนวาระดังกล่าว คือ ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ  “พรบ.โลกร้อน” ซึ่งขณะนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะ และอยู่ระหว่างขั้นตอนก่อนเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) คาดว่าช่วงปลายปี 2568 ถึงต้นปี 2569 จะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา และมีผลทางกฎหมายในปี 2569

สำหรับสาระสำคัญของ พรบ.โลกร้อน จะมีการกำหนดมาตรฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งภาคธุรกิจต้องรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร (Carbon Footprint for Organization : CFO) เพื่อให้มีฐานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกของประเทศ และมีการใช้กลไกราคาคาร์บอนที่ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1) "ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก" (Emissions Trading System : ETS) เพื่อควบคุมการปล่อยคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของไทยแบบภาคบังคับ โดยมีการจัดสรรสิทธิ (โควตา) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับแต่ละอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนสูง 2) ระบบภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) สำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน เพื่อเป็นเครื่องมือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ให้เปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลสู่พลังงานทางเลือกอื่นๆ และเชื่อมโยงกับมาตรการ CBAM ของนานาชาติ เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย 3) ตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ ซึ่งเบื้องต้นจะเชื่อมโยงกับความต้องการคาร์บอนภาคบังคับ หรือ ETS นอกจากนี้ จะมีกลไก "กองทุนภูมิอากาศ" ซึ่งจะมีเงินสนับสนุนมาตรการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัว เพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนและประชาชนในการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ทั้งนี้ คาดว่าหลังจากกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ ประเทศไทยจะเริ่มเก็บภาษีคาร์บอนอย่างเต็มรูปแบบ (ปัจจุบันยังรวมอยู่กับภาษีสรรพสามิตน้ำมัน) และเริ่มให้ภาคเอกชนรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2570 และเริ่มใช้ระบบ ETS แบบนำร่องได้ในปี 2572

ล่าสุดรัฐบาลไทยได้ประกาศปรับเป้าให้ไทยบรรลุเป้า Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี จากเป้าเดิมในปี 2608 (ค.ศ. 2065) เป็นปี 2593 (ค.ศ. 2050) ซึ่งเป็นเป้าหมายเดียวกับประเทศส่วนใหญ่ในโลก และจะทำให้ไทยบรรลุเป้า Net Zero ก่อนจีน อินโดนีเซีย และรัสเซีย ที่ตั้งเป้าจะบรรลุ Net Zero ในปี 2603 (ค.ศ. 2060) การปรับเป้าหมายเชิงรุกในครั้งนี้นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะถูกกีดกันการค้าในอนาคต เพราะคู่ค้าในประเทศส่วนใหญ่ที่บรรลุเป้า Net Zero ตั้งแต่ปี 2593 ย่อมมีแนวโน้มจะเลือกซื้อสินค้าจากบริษัทและประเทศที่บรรลุเป้า Net Zero แล้วเช่นกัน

การที่นานาประเทศยังคงเดินหน้าผลักดันมาตรการลดโลกร้อนอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมกับไทยที่ประกาศเป้าหมาย Net Zero เร็วขึ้นถึง 15 ปี เป็นหมุดหมายสำคัญที่ธุรกิจไทยต้องเร่งปรับตัว ทั้งการลงทุนในเทคโนโลยีลดคาร์บอน การปรับปรุงกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการมีรายงานข้อมูลการปล่อยคาร์บอนที่จับต้องได้ สิ่งเหล่านี้เป็นทั้งความท้าทายและโอกาสในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน EXIM BANK ตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง จึงพร้อมเป็นผู้สนับสนุนทั้งด้านการเงินเพื่อการลงทุนสีเขียว (Green Finance) และการให้คำปรึกษาเพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถก้าวสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้อย่างมั่นคง และไม่ตกขบวนการค้าโลกที่มุ่งสู่ความยั่งยืน

Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด

เอกสาร
ที่เกี่ยวข้อง
Related
more icon
  • The Road to Net Zero … กับทางที่ยากลำบากขึ้นในยุค Trump 2.0

    ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ได้ส่งสัญญาณเข้าสู่ภาวะวิกฤตชัดขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2567 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกได้ทำสถิติสูงที่สุดคือเพิ่มขึ้นจนทะลุระดับ 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรมไปแล้...

    calendar icon20.02.2025
  • โลกแปรปรวน ... ใกล้กว่าที่คิด หนักกว่าที่คาด

    โลกกำลังเผชิญกับภาวะโลกร้อนที่ไม่เพียงแต่ส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้น แต่ยังก่อให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงและถี่ขึ้น อย่างเหตุการณ์ล่าสุดที่พายุยางิ ซึ่งถือเป็นพายุที่รุนแรงเป็นอันดับ 2 ของโลกในปีนี้...

    calendar icon21.09.2024
Most Viewed
more icon
link อื่นๆ
  • Relate Preview
  • Relate Preview
Financial Products
  • Finance Preview
  • Finance Preview
  • Finance Preview