Hot Issues

ประเด็นสำคัญ

• สหราชอาณาจักร (UK) จะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 12 ธันวาคม 2562 เพื่อผ่าทางตันวิกฤต Brexit ที่ยังไม่มีทางออก หลังจากรัฐสภาลงมติด้วยคะแนนเสียง 438 เสียง รับรองกฎหมายเพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งทั่วไป

• กำหนดเส้นตาย Brexit ได้เลื่อนออกจากเดิมวันที่ 31 ตุลาคม 2562 ไปเป็นวันที่ 31 มกราคม 2563  ซึ่งหลังจากนี้ต้องจับตาดูว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นเช่นไร เพราะจะเป็นการกำหนดทิศทางและทางออกของ Brexit อย่างมีนัยสำคัญ

• พรรคการเมืองใน UK เริ่มหาเสียงอย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีเวลา 5 สัปดาห์ในการหาเสียงก่อนการเลือกตั้ง

เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าสหราชอาณาจักร (UK) จะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 12 ธันวาคม 2562 เพื่อหาทางออกใหม่ให้กับปัญหา Brexit หลังจากรัฐสภาลงมติด้วยคะแนนเสียง 438 เสียง ต่อ 20 เสียง รับรองกฎหมายให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ขณะที่สหภาพยุโรป (EU) มีมติเลื่อนกำหนดเส้นตาย Brexit จากเดิมวันที่ 31 ตุลาคม 2562 ไปเป็นวันที่ 31 มกราคม  2563 ซึ่งผลการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางอนาคตของ UK ในการหาทางออกสำหรับวิกฤต Brexit

จับตาการแข่งขันของสองพรรคการเมือง

สำหรับการเลือกตั้งในครั้งนี้จะเป็นการแข่งขันของสองพรรคการเมืองหลักของ UK ซึ่งมีนโยบายแตกต่างกัน โดยพรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative Party) ของนาย Boris Johnson เป็นฝ่ายสนับสนุน Brexit เต็มที่ไม่ว่าจะจบลงในรูปแบบใด ขณะที่พรรคแรงงาน (Labour Party) มีแนวนโยบายสนับสนุนให้ UK เป็นสมาชิก EU ต่อไป ดังนั้น ผลการเลือกตั้งจึงจะเป็นตัวกำหนดทิศทางและบทสรุปของ Brexit ในระยะข้างหน้า

• Scenario 1  พรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative Party) ชนะการเลือกตั้ง : เดินหน้าออกจาก EU โดยมี 2 ทางเลือกที่ผลลัพธ์ต่างกันมาก

หากพรรคอนุรักษ์นิยมชนะการเลือกตั้งแบบเบ็ดเสร็จและได้ครองเสียงข้างมากในรัฐสภา แนวทางที่จะเกิดขึ้น ได้แก่

ความเป็นไปได้กรณีที่ 1 : หากนาย Jonhson สามารถผลักดันข้อตกลง Brexit ที่ทำไว้กับ EU ให้ผ่านรัฐสภาได้เป็นผลสำเร็จ จะเป็นการปูทางไปสู่การออกจากการเป็นสมาชิก EU ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงภายในวันที่ 31 มกราคม 2563 และจะเปิดทางให้ UK สามารถเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับ EU ได้ในระยะถัดไป

ความเป็นไปได้กรณีที่ 2 : หากข้อตกลง Brexit ไม่ผ่านรัฐสภาก็มีความเป็นไปได้ที่ UK จะออกจากการเป็นสมาชิก EU แบบ No-deal Brexit ซึ่งจะทำให้การค้าระหว่าง UK กับ EU ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก (WTO) และการเปิดการเจรจาการค้าเสรีกับ EU ก็จะเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าโอกาสที่จะเกิด No-deal Brexit มีความเป็นไปได้น้อยมาก เนื่องจากจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ UK โดยเฉพาะต่อภาคธุรกิจ จึงเป็นแนวทางที่ไม่มีฝ่ายใดอยากให้เกิดขึ้น

• Scenario 2 พรรคแรงงาน (Labour Party) ชนะการเลือกตั้ง : กลับเข้าสู่ความไม่แน่นอน ประหนึ่งวนกลับไปสู่ช่วงเริ่มต้น Brexit ครั้งใหม่

หากพรรคแรงงานของนาย Jeremy Corbyn ผู้นำฝ่ายค้าน ชนะการเลือกตั้ง และได้จัดตั้งรัฐบาล แนวทางที่จะเกิดขึ้น ได้แก่

ความเป็นไปได้กรณีที่ 1 : พรรคแรงงานจะผลักดันให้มีการจัดการลงประชามติ Brexit ครั้งใหม่ ซึ่งเป็นแนวทางที่หลายฝ่ายสนับสนุน  สอดคล้องกับผลสำรวจของหลายสำนักที่ระบุตรงกันว่าประชาชนส่วนใหญ่ของสหราชอาณาจักรยังต้องการให้ UK อยู่กับ EU ต่อไป

ความเป็นไปได้กรณีที่ 2 : พรรคแรงงานอาจยกเลิก Article 50 เพื่อยกเลิกกระบวนการออกจากการเป็นสมาชิก EU ซึ่งจะทำให้สหราชอาณาจักรยังเป็นสมาชิก EU ต่อไป

ความเป็นไปได้กรณีที่ 3 : พรรคแรงงานอาจขอให้ EU เลื่อนกำหนด Brexit ออกไปจากวันที่ 31 มกราคม 2563 เพื่อเปิดทางให้มีการเจรจาข้อตกลง Brexit ให้ได้เงื่อนไขที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นาย Donal Tusk ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ได้ระบุว่าการเลื่อน Brexit ออกไปเป็นวันที่ 31 มกราคม 2563 อาจเป็นการเลื่อนครั้งสุดท้าย ดังนั้น แนวทางนี้ของพรรคแรงงานอาจไม่เกิดขึ้น

ความเห็นของฝ่ายวิจัยธุรกิจ

โพลส่วนใหญ่ยังเห็นว่าพรรคอนุรักษ์นิยมมีโอกาสสูงที่จะชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเมืองใน UK มีความผันผวนและไม่แน่นอนสูง ซึ่งโพลสำรวจความคิดเห็นก่อนการเลือกตั้งอาจไม่สะท้อนผลการเลือกตั้งที่แท้จริง (ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว) จึงมีความเป็นไปได้ว่าพรรคอนุรักษ์นิยมจะชนะการเลือกตั้ง แต่อาจไม่ได้ที่นั่งในสภาเพิ่มขึ้นจนครองเสียง
ข้างมาก ซึ่งทำให้เกิดเป็น Scenario ใหม่ (ไม่มีพรรคใดครองเสียงข้างมากในรัฐสภา) และจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ Brexit เข้าสู่วังวนเดิม ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่พึ่งพาตลาด UK ในสัดส่วนสูง จึงควรติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดและมองหาตลาดใหม่แต่เนิ่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของ UK ที่คาดว่าจะยังดำเนินต่อไป