บทความพิเศษจากกรรมการผู้จัดการ
สถานการณ์ในเวทีโลกยังเป็นประเด็นท้าทายธุรกิจส่งออกอยู่เสมอ โดยในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ ประเด็นความขัดแย้งระหว่างสองขั้วมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐฯ และจีนในเกือบทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้า เทคโนโลยี ความมั่นคง รวมไปถึงประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ ถือเป็นเรื่องที่ทั่วโลกต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาปัจจัยต่างๆ รอบด้าน พบว่าโอกาสที่ทั้งสองประเทศจะยกระดับมาตรการตอบโต้ที่รุนแรงขึ้นจนถึงขั้นเปิดฉากสงครามการค้ารอบใหม่คงเป็นไปได้ยาก เพราะในปีนี้ทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างเผชิญโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายในประเทศ โดยสหรัฐฯ อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการดำเนินนโยบายถอนคันเร่งมาตรการทางการเงินที่ต้องระมัดระวังไม่ให้กระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว ขณะที่จีนก็เผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวท่ามกลางความเสี่ยงในการบริหารจัดการผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ การดำเนินนโยบายต่างๆ ของทั้งสหรัฐฯ และจีนจะสร้างแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจและการเงินโลก ซึ่งภาคธุรกิจไทยต้องเตรียมตั้งรับกับผลกระทบในมิติต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ดังนี้
สหรัฐฯ ... ถอนคันเร่งเพื่อรับมือกับเงินเฟ้อท่ามกลางเศรษฐกิจที่เติบโตแข็งแกร่ง
สหรัฐฯ เปิดศักราชปี 2565 ด้วยการจุดกระแสความกังวลไปทั่วโลกหลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ส่งสัญญาณลดการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายทางการเงินที่อาจทำให้เกิดวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นรอบใหม่ที่เร็วและแรงกว่าคาด (The New Rate-hike Cycle) โดย FED มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4-7 ครั้งในปีนี้ ซึ่งมากกว่าที่ตลาดคาดไว้เดิม เพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อที่ล่าสุดแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปีที่ 7.5% ในเดือน ม.ค. 2565 หลัง FED ระบุว่ายังมีช่องว่างอีกมากสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 0-0.25% ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่งเพียงพอรองรับแรงกระแทกจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ FED ยังระบุถึงความเป็นไปได้ที่อาจมีการลดสภาพคล่องในระบบด้วยการขายสินทรัพย์ทางการเงินที่ FED ถือครองไว้จากการทำ QE ภายในปีนี้ ซึ่งเร็วกว่าที่คาดกันไว้ โดยหากเกิดขึ้นจริงก็จะยิ่งกดดันให้สภาพคล่องในระบบลดลงเร็วขึ้นและทำให้ทั่วโลกเผชิญวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นที่เร็วและแรงขึ้น ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าวจะสร้างแรงกดดันต่อต้นทุนการกู้ยืมของเอกชนให้ปรับขึ้นตามอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ทิศทางอัตราแลกเปลี่ยนจะผันผวนมากขึ้น เนื่องจากจะเกิดการไหลออกของเงินทุนจากตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) เข้าสู่สหรัฐฯ มากขึ้น
จีน ... ใส่เกียร์ต่ำ เบาเครื่องเศรษฐกิจ เพื่อรับมือ COVID-19
ในปี 2565 เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มถูกบั่นทอนจากการควบคุมการระบาดของ COVID-19 ที่เข้มงวด ภายใต้นโยบาย Zero COVID-19 ซึ่งเป็นนโยบายที่มีเป้าหมายลดจำนวนผู้ติดเชื้อให้เหลือศูนย์ โดยรัฐบาลจีนดำเนินมาตรการที่เข้มงวดด้วยการปิดเมืองทันทีในพื้นที่ที่ตรวจพบการแพร่ระบาด รวมถึงจำกัดการเดินทางข้ามพื้นที่และจำกัดการออกจากเคหะสถานอย่างเข้มงวด ซึ่งส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่และเป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตามองอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะหากพบการติดเชื้อในเมืองท่าหรือศูนย์กลางการขนส่ง ไปจนถึงเมืองสำคัญในภาคการผลิต ก็จะส่งผลกระทบต่อ Supply Chain การผลิตและการขนส่งเป็นวงกว้าง ทั้งนี้ การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 สายพันธุ์ Omicron ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้เร็วขึ้น ประกอบกับข้อจำกัดด้านสาธารณสุขของจีนที่ไม่เพียงพอรองรับผู้ป่วยหนัก (ICU) หากการติดเชื้อขยายวงกว้าง ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนยังคงดำเนินนโยบาย Zero COVID-19 ต่อเนื่องในปี 2565 แม้ต้องแลกด้วยความเสี่ยงในการบั่นทอนการเติบโตของเศรษฐกิจก็ตาม
จีน ... เปลี่ยนเลน ลดความเร็ว เพื่อความยั่งยืนในอนาคต
การพัฒนาจีนยุคใหม่อย่างยั่งยืน (The Next Chapter of China Sustainability) เกิดขึ้นบนความเสี่ยงที่ภาวะเศรษฐกิจอาจชะลอตัว โดยปัจจุบันรัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบาย Common Prosperity หรือความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน โดยหนึ่งในมาตรการสำคัญ คือ การควบคุมและจัดระเบียบภาคธุรกิจ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้เริ่มเข้ามาควบคุมภาคธุรกิจที่ส่งผลต่อความมั่นคงของสังคม อาทิ ธุรกิจสอนพิเศษ ธุรกิจเกม และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ (สัดส่วนราว 14.5% ของ GDP จีน) ที่รัฐบาลจีนเข้ามาดูแลควบคุมการปล่อยสินเชื่อในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการเก็งกำไรและช่วยควบคุมราคาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะช่วยให้กลุ่มชนชั้นกลางสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น ล่าสุดจีนเตรียมนำร่องเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในเมืองใหญ่บางแห่ง เพื่อลดการเก็งกำไร นอกจากนี้ ยังต้องจับตามาตรการควบคุมธุรกิจที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ธุรกิจเหมืองถ่านหิน ซึ่งมีแนวโน้มที่รัฐบาลจีนจะกลับมาควบคุมการผลิตถ่านหินอีกครั้งเมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจเอื้ออำนวยเพื่อเดินตามแผนการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตลอดจนเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2603 หลังจากที่ในช่วงปลายปี 2564 รัฐบาลจีนได้ผ่อนคลายการเพิ่มกำลังการผลิตถ่านหินชั่วคราวเพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนพลังงาน (ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลักที่ใช้ผลิตไฟฟ้าในจีน)
ทั้งนี้ แม้ว่ารัฐบาลจีนยังไม่มีการเปิดเผย Blueprint สำหรับแผนพัฒนาภายใต้นโยบาย Common Prosperity แต่ที่ผ่านมา ธุรกิจด้านเทคโนโลยีแพลตฟอร์มเป็นกลุ่มที่รัฐบาลดำเนินมาตรการควบคุมและจัดระเบียบอย่างจริงจัง อาทิ บริษัทในกลุ่ม Fintech เพื่อลดการผูกขาดและควบคุมการนำข้อมูลผู้บริโภคไปใช้ และมีการสั่งปรับบริษัทเทคโนโลยีหลายรายไม่ว่าจะเป็น Alibaba, Tencent และ Baidu จากการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดตลาด
ธุรกิจส่งออกไทย ... ต้องคาด Safety Belt ลดแรงกระแทกที่อาจเกิดขึ้น
- Safety Belt ลดแรงกระแทกจากต้นทุนการเงินที่สูงขึ้น ภาคธุรกิจควรเตรียมรับมือแต่เนิ่นๆ กับต้นทุนของการระดมทุนและการกู้ยืมในช่วงขาขึ้น ด้วยการวางแผนทางการเงินและเร่งระดมทุน โดยบริษัทขนาดใหญ่สามารถใช้ช่องทางการออกหุ้นกู้เพื่อล็อกต้นทุนในจังหวะที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ สำหรับ SMEs ยังต้องระมัดระวังสภาพคล่องของธุรกิจที่มีแนวโน้มตึงตัวและทิศทางดอกเบี้ยที่กำลังเข้าสู่ช่วงขาขึ้น โดยผู้ประกอบการควรเตรียมหาเงินทุนสำรอง โดยเฉพาะสินเชื่อโครงการสนับสนุน SMEs ของภาครัฐที่มักมีเงื่อนไขที่ผ่อนปรน เนื่องจากในระยะต่อจากนี้ ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ รวมถึงไทยจำเป็นต้องทยอยปรับนโยบายอัตราดอกเบี้ยในทิศทางขาขึ้นอีกครั้ง เพื่อบรรเทาภาวะเงินทุนไหลออกไปหาผลตอบแทนที่จูงใจกว่าในตลาดเงินและตลาดทุนโลก
- Safety Belt เพิ่มความมั่นใจเมื่อต้องผ่านช่วงค่าเงินผันผวน ภาคธุรกิจควรมีการวางแผนบริหารจัดการความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า อาทิ การทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (FX Forward) และการซื้อสิทธิ์ในการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (FX Options) เพื่อลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน แม้ในระยะกลางความต่างของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะทำให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า ซึ่งอาจส่งผลดีต่อธุรกิจส่งออกบางส่วน แต่ในระยะสั้น ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐยังมีแนวโน้มผันผวนรุนแรงตามภาวะการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าออก และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทย นอกจากนั้น อัตราดอกเบี้ยขาขึ้นยังกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศตลาดเกิดใหม่ ซึ่งอาจกระทบต่อความต้องการนำเข้าสินค้าจากไทย จึงเป็นประเด็นที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมพร้อมรับมือ
- Safety Belt ลดการบาดเจ็บหากตกหลุมเศรษฐกิจจีน
- ระยะสั้น : มาตรการ Zero COVID-19 อาจเพิ่มความเสี่ยงซ้ำเติมปัญหา Supply Chain Disruption จากการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และขาดแคลนชิบ ผู้ส่งออกไทยที่ค้าขายกับจีนจึงควรติดตามสถานการณ์ COVID-19 ในจีนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจเป็นอุปสรรคต่อการขนส่งและกระจายสินค้าไทยในจีน รวมถึงความเสี่ยงที่สินค้าจะได้รับความเสียหายจากความล่าช้าในการขนส่งและกระจายสินค้า โดยเฉพาะผักและผลไม้ ซึ่งเน่าเสียได้ง่าย ผู้ส่งออกไทยจึงควรเตรียมแผนการขนส่งสำรองหากเส้นทางขนส่งเดิมได้รับผลกระทบจากมาตรการปิดเมือง นอกจากนี้ ยังควรเผื่อเวลาสำหรับการขนส่งสินค้าที่อาจล่าช้า เนื่องจากปัจจุบันท่าเรือหลายแห่งในจีนมีการตรวจปล่อยสินค้าและขนถ่ายสินค้าล่าช้ากว่าเดิม จากข้อจำกัดด้านสาธารณสุขที่เข้มงวด เช่น การกักตัวพนักงาน และการตรวจเชื้อเชิงรุก
- ระยะยาว : เศรษฐกิจจีนมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวจากผลกระทบของมาตรการจัดระเบียบธุรกิจภายใต้นโยบาย Common Prosperity ล่าสุด IMF คาดว่าเศรษฐกิจจีนในปี 2565 จะขยายตัว 8% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 30 ปี การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะสร้างแรงกดดันต่อธุรกิจส่งออกของไทยที่พึ่งพาจีนเป็นตลาดหลัก ขณะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคจีนบางส่วนมีแนวโน้มลดลง หากมีการเดินหน้าจัดระเบียบตลาดอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเป็นหนึ่งในแหล่งลงทุนหลักของผู้บริโภคจีน
ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเงินที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือ EXIM BANK พร้อมเคียงข้างผู้ประกอบการไทยให้ก้าวข้ามความเสี่ยงและผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายเช่นนี้ไปให้ได้ ด้วยบริการที่ครอบคลุมครบทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเติมทุน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อนำไปเสริมสภาพคล่องพลิกฟื้นธุรกิจจากวิกฤต COVID-19 ตลอดจนเร่งลงทุนในเครื่องจักร ซอฟต์แวร์ เทคโนโลยี เพื่อยกระดับธุรกิจให้พร้อมรับโอกาสจากเทรนด์โลกยุคใหม่ พร้อมกับการเติมความรู้ ด้วยการบ่มเพาะผู้ประกอบการทุกระดับตั้งแต่เริ่มต้นส่งออกจนถึงมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นทำธุรกิจและการตลาดสมัยใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุค Next Normal ไปจนถึง Business Matching ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อแสวงหาโอกาสจากตลาดใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยงจากการชะลอตัวของตลาดเดิมอย่างจีน รวมถึงการปิดความเสี่ยง ด้วยเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เช่น Forward Contract ตลอดจนบริการประกันการส่งออกกรณีที่ผู้ซื้อไม่ชำระค่าสินค้า EXIM BANK พร้อมคุ้มครองความเสี่ยงเพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาดการเงินโลกและเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่มีความเสี่ยงว่าจะชะลอการขยายตัวลง
ที่เกี่ยวข้อง
-
จีน-อินเดีย ... ขั้วเศรษฐกิจใหม่ ยิ่งใหญ่บนความเหมือนที่แตกต่าง
หลายปีที่ผ่านมาบริบทเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนโฉมไปจากอดีตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะบทบาทของผู้นำทางเศรษฐกิจจากเดิมที่เคยผูกขาดโดยมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ กลุ่ม G3 ได้แก่ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น แต่...
20.09.2024 -
หนี้ทางเทคนิคและหนี้ด้านสิ่งแวดล้อม ... ชนวนเหตุที่ทำให้ธุรกิจติดบ่วง
ถ้าพูดถึง “หนี้” ผมคิดว่าท่านที่ทำธุรกิจคงคุ้นเคยและทราบดีว่าเมื่อมีหนี้ก็ย่อมมี “ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย” การเป็นหนี้แต่ละครั้งจึงต้องคิดอย่างรอบคอบแล้วว่า หนี้ก้อนนี้จะช่วยให้มีรายได้เพิ่มขึ้นคุ้มค่...
20.04.2024
-
ตลาดแอฟริกา : แหล่งลงทุนที่ทำกำไรดีอย่างคาดไม่ถึง
ท่านผู้อ่านครับ ในปีที่ผ่านมาผมได้เล่าถึงโอกาสการค้าการลงทุนในทวีปแอฟริกาไปแล้วหลายครั้ง ว่าเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพ ทั้งในแง่ทรัพยากรธรรมชาติ ขนาดตลาด สัดส่วนประชากรในวัยแรงงาน การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของภาวะเศรษฐกิจ และ...
22.01.2019 -
การขายสินค้าออนไลน์ใน CLMV ให้ประสบความสำเร็จ
ปัจจุบันแม้ตลาดออนไลน์ในประเทศเพื่อนบ้าน อันได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม หรือที่เรียกว่า CLMV จะยังมีขนาดเล็กกว่าไทย ด้วยจำนวนผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่มีสัดส่วนเพียง 53% น้อยกว่าไทยที่มีสัดส่วนมากถึง 82% แต...
18.09.2018 -
ส่องโอกาสอุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนในตลาดแอฟริกา
ปัจจุบันนี้คงต้องยอมรับครับว่าทวีปแอฟริกากำลังเนื้อหอม ที่ผมกล่าวเช่นนี้เพราะมีสัญญาณที่สื่อให้เห็นชัดเจนว่าภาครัฐของหลายประเทศกำลังพยายามหาทางนำผู้ประกอบการเข้าสู่ตลาดแอฟริกาเพื่อยึดหัวหาด เห็นได้จากจำนวนสถานทูตตั้งใหม่...
26.03.2019